แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายหาว่าจำเลยได้สมคบกันทำไม้แปรรูปไม้และชักลากไม้โดยใช้อุบายหรือจ้างวานให้ผู้อื่นทำไม้ แปรรูปไม้และชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุณาต และได้สมคบกับพวกที่หลบหนีไปลักไม้ ขอให้ลงโทษดังนี้ ผู้อื่นที่จำเลยใช้อุบายจ้างวานและพวกที่หลบหนีไปจะเป็นใครและมีจำนวนกี่คนนั้น ไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้จำเลยเข้าใจผิดหลงว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ฟ้องเช่นนี้จึงสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องหาว่าระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๙๒ วันเวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมค่างวาระกัน คือ
ก. จำเลยบังอาจสมคบกันทำไม้โดยใช้อุบายจ้างวานผู้อื่นให้ทำการตัดไม้สักอันเป็นไม้ประเภทห่วงห้ามในป่าตำบลบ้านช้าง รวม ๑๒๙ ต้น โดยมิได้รับอนุญาต
ข. จำเลยได้บังอาจสมคบกันแปรรูปไม้ หรือใช้อุบายจ้างวานผู้อื่นให้ทำการแปรรูปไม้สักดังกล่าว ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้สักดังกล่าวภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ฯลฯ ขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายรัตน์จำเลยผู้เดียวฎีกา ศาลสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดเจนให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่า จำเลยสมคบกันทำไม้ แปรรูปไม้ และชักลากไม้ โดยใช้อุบายหรือจ้างวานผู้อื่นทำไม้ แปรรูปไม้และชักลากไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาต และได้สมคบกับพวกที่หลบไปจะเป็นใครและมีจำนวนกี่คนนั้น ไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้จำเลยเข้าใจผิดหลงว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
คงพิพากษายืน