คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าจำเลยเช่าห้องรายพิพาทเพื่ออยู่อาศัย มิใช่เช่าเพื่อทำการค้า สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยไม่เคยผิดสัญญาเช่า ทั้งโจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญา ดังนี้ ไม่พอที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยได้ขอรับสิทธิพิเศษ ตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ เพื่อที่ตนจะได้รับความคุ้มครองให้อยู่ตอ่ไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าห้องแถวที่ถนนรองเมือง อำเภอปทุมวัน จากโจทก์เพื่อทำการค้า มีกำหนด ๑ ปี ครั้นสิ้นอายุสัญญา จำเลยยังครอบครองห้องเช่าอยู่และยอมให้ค่าเช่าจนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๐๓ แล้วไม่ชำระ โจทก์เตือนแล้วจำเลยก็เพิกเฉย โจทก์บอกกล่าวเลิกการเช่าแล้ว จำเลยกับบริวารไม่ยอมออกไป ขอให้ขับไล่และให้ชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์และผู้แทนไม่ยอมรับค่าเช่า จำเลยยินดีชำระค่าเช่าที่ค้างจำเลยค่าเช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย มิได้เช่าเพื่อทำการค้า สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยยังไม่เคยผิดสัญญา โจทก็ไม่เคยบอกเลิกสัญญา ฯลฯ
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความ โจทก์รับว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจริง ศาลสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์รับว่าจำเลยเช่าห้องเป็นที่อยู่อาศัย แต่ฟ้องมิได้บรรยายว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ๒ ครั้งติด ๆ กัน โจทก์จะขับไล่จำเลยมิได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ยกขึ้นอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุม ค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ จำเลยก็ไม่มีทางที่จะได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีตกเป็นกรณีการเช่าสามัญในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะเช่าทรัพย์ ถ้าหากการเช่าตกเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาดังฟ้อง โจทก์ก็มีสิทธิบอกกล่าวล่วงหน้าเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยได้ผิดสัญญาหรือไม่ แต่คดียังมีข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบเรื่องบอกเลิกสัญญาและค่าเช่าค้างเท่าใดอยู่อีก พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยไม่ได้กล่าวถึงการได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ แต่ตามคำร้องเพิ่มเติมคำให้การมีข้อความเกี่ยวกับปัญหาอยู่ว่า “ห้องเช่า เลขที่ ๑๓๕ จำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัย มิใช่เช่าเพื่อทำการค้า สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยยังไม่ผิดสัญญาเช่าแต่อย่างใด ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยทราบด้วย” เห็นว่าข้อความดังกล่าวไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยได้ขอรับสิทธิพิเศษตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ เพื่อที่คนจะได้รับความคุ้มครองให้อยู่ต่อไป อันเป็นเรื่องของผู้ที่จะขอรับสิทธิพิเศษเพื่อให้ตนได้รับความยกเว้นจากกฎหมายธรรมดา คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะเช่าทรัพย์ จะพึงขอมา จำเลยจึงไม่มีข้อต่อสู้ตัดสิทธิมูลฐานของโจทก์ผู้ให้เช่าในกรณีนี้ได้ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น (อ้างฎีกาที่ ๑๒๗๖/๒๔๙๙ และฎีกาที่ ๑๐๔๑-๑๐๔๔/๒๕๐๔)
เมื่อจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ เสียแล้ว ข้อที่ว่าโจทก์จะได้บรรยายฟ้องวาจำเลยผิดนัด ๒ ครั้งติด ๆ กันหรือไม่ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายืน

Share