แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินที่เจ้าของได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนบนที่บางส่วนและได้ล้อมรั้วลวดหนามไว้ ถึงแม้จะปล่อยที่บางส่วนไว้ให้รุกร้างก็ตาม ยังไม่ถือว่าเจ้าของขาดปกครองที่นั้นทั้งหมด ผู้ซื้อที่ดินย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ทำการบุกรุกเข้ามาอยู่ในที่ดินก่อนทำสัญญาซื้อขายโดยมิต้องเรียกผู้ขายเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วย ฎีกาอุทธรณ์ สัญญาทางพระราชไมตรี คดีที่คนในบังคับอังกฤษเป็นคู่ความ ฎีกาได้แต่ในฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมาย+
ย่อยาว
ได้ความว่าเดิมที่พิพาทนั้นเป็นไร่หรือสวนของหมื่นรักษ์ ๆ ขายให้ขุนพิทักษ์จีนนคร ขุนพิทักษ์ฯขอตรวจจองสำหรับที่เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๙ แล้วขายให้นายพลีเองเสียง ๆ ได้โอนขายให้ผู้อื่นเป็นทอด ๆ ตลอดมาจนถึงโจทก์ในคดีนี้ ปรากฎว่าบนที่รายนี้เจ้าของผู้หนึ่งได้สร้างโรงเรียนขึ้นหลังหนึ่ง ส่วนอีกซีกหนึ่งได้เคยถางเตียนครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ทำอะไร เคยกั้นลวดหนามแต่ก็ถูกขะโมยตัดไปเสีย ส่วนตราจองนั้นได้มีการต่ออายุกันตลอดมา จำเลยได้เข้าครอบครองที่นี้เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๗ และได้เคยยื่นคำร้องขอจับจองแต่เจ้าหน้าที่ได้ยกคำร้องเสีย โจทก์ได้ซื้อที่นี้เมื่อ ๔ เดือนภายหลังที่จำเลยได้เข้าครอบครอง แล้วโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสียอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอ้างฎีกาที่ ๒๔๒/๑๒๓
ศาลฎีกาตัดสินตามศาลอุทธรณ์ว่า ม.๔๗๗ แห่งป.พ.พ.ม.ให้โอกาศผู้ซื้อที่จะขอให้ศาลเรียกผู้ขายเข้ามาเป็นจำเลยหรือโจทก์ร่วมก็ได้ ฉะนั้นโจทก์ในคดีนี้จะไม่ใช้สิทธิดังกล่าวแล้วโดยฟ้องจำเลยแต่ลำพังก็ได้ ส่วนที่ว่าใครจะมีสิทธิในที่รายนี้นั้นเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ว่าเจ้าของเดิมหาได้ขาดปกครองไม่ เพราะมีสิ่งปลูกสร้างบางส่วนและเคยล้อมรั้วที่ทั้งหมดไว้ จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลย