แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอ้างใบรับเงินเป็นพยานและได้คัดสำเนาให้ฝ่ายโจทก์แล้ว แต่ปรากฎว่าใบรับเงินนี้มิได้ปิดอากรแสตมป์ ต่อมาภายหลังจำเลยจึงนำใบรับเงินนั้นยื่นต่อพนนักงานเจ้าหน้าที่จึงสลักหลังให้ในใบรัลเงินนั้นจำเลยจึงยื่นคำร้องขออ้างสลักหลังนี้เป็นพยานเพิ่มเติมในตอนจวนเสร็จการสืบพยานโจทก์โดยมิได้คัดสำเนาสลักหลังส่งให้โจทก์ล่วง
หน้าตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 90 ดังนี้ ศาลก็ย่อมรับฟังเอกสารใบรับเงินนั้นเป็นพยานหลักฐานได้ เพราะข้อความสลักหลังเป็นเพียงข้อความของเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ว่า ใบรับเงินนั้นได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้แล้วเท่านั้น จึงมิใช่เป็นเอกสารพยานหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยอ้างอิงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินจากจำเลยเป็นเงิน ๑๕๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้หลายประการ และต่อสู้ว่าจำเลยชำระต้นเงินไปแล้ว ๗๕๐๐ บาท กับดอกเบี้ยเท่านั้น จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เท่าที่ค้างกับดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจประชุมปรึกษาคดีแล้ว ข้อทีโจทก์ฎีกาว่าเอกสารหมาย ล.๑๒ และ ล.๑๓ นั้น รับฟังไม่ได้เพราะจำเลยเพิ่งคัดสำเนาเอกสารหมาย ล.๑๓ ให้แก่ฝ่ายโจทก์ในวันสืบพยานจำเลยนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เอกสาร ล.๑๓เป็นเพียงข้อความสลักหลังในเอกสารหมาย ล.๑๒ ของพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ซึ่งแสดงว่าใบรับเงินของร้านค้ารถไฟสายแม่กลองที่ ๒๐๓๔ คือเอกสารหมาย ล.๑๒ นั้น ได้ปิดอากรแสตมป์ บริบูรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้แล้วเท่านั้น ฉะนั้นจึงมิใช่เป็นเอกสารพยานหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยอ้างอิงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนตามมาตรา ๙๐ ป.ม.วิ.แพ่ง คดีจำเลยไม่เสียไป เพราะการส่งสำเนาให้โจทก์ล่าช้า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว
ฯลฯ
จึงพิพากษา