คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและปกครองที่พิพาทอยู่ ได้อนุญาตให้โจทก์ใช้ที่ดินเพาะพันธ์ข้าวได้แล้ว โจทก์ก็มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะใช้ดินนั้นได้ เมื่อโจทก์สับถางที่ดินไว้เรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 2 แม้มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยในที่พิพาท กลับเข้าไปแย่งปลูกข้าวในที่ดินนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เข้าทำอยู่ก่อน การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

เรื่อง ละเมิด เรียกค่าเสียหาย
ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เอาที่ดินซึ่วจำเลยที่ ๒ มีกรรมสิทธิร่วมอยู่ด้วยไปให้โจทก์อาศัยเพาะพันธ์ข้าวโดยจำเลยที่ ๒ไม่ได้รู้เห็นยิมยอมด้วย
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการอาศัยของโจทก์เป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สมบรูณ์ตามกฎหมาย พิพาษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ แม้จะเป็นเจ้าของร่วมก็ไม่มีอำนาจเข้าแย่งทำ โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้เข้ามาลงทุนลงแรงทำไว้โดยสุจริต จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รุ้เห็นด้วยในการที่จำเลยที่ ๒ เข้าแย่งทำ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๙๙ บาท ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีขึ้นมาสู่ศาลฏีกาเฉพาะข้อกฎหมายข้อเดียว ตามที่จำเลยที่ ๒ ฏีกาวาจำเลยที่ ๑ เอาที่ดินขึ่งจำเลยที่ ๒ ไม่ได้รู้เห็นยิมยอมด้วย เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด โดยอ้าง ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๕๗-๑๓๕๘-๑๓๖๐
ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยก็ดี แต่ปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ปกครองที่พิพาทอยู่ เมื่อโจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๑ ให้ใช้ที่ดินนั้นได้ เมื่อโจทก์สับถางที่ดินไว้เรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ ๒ กลับเข้าไปแย่งปลูกข้าวในที่ดินนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เข้าทำอยู่ก่อน จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share