แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขายทรัพย์ก่อนเจ้าหนี้ฟ้องร้อง เจ้าหนี้ทราบไม่ว่ากล่าว ไม่เรียกว่าขายโดยสมยอม ประมวลแพ่ง ม.237,118 เปนสารบัญญัตินิติกรรมที่แท้จริงซึ่งกฎหมายรับฟัง
ย่อยาว
เดิมผู้ร้องกับจำเลยมีชื่อในโฉนดด้วยกันจำเลยได้ปลูกห้องแถวลงในที่ดินนั้น ต่อมาจำเลยโอนส่วนของจำเลยพร้อมทั้งห้องแถวให้แก่ผู้ร้อง ( ปรากฎในช่องทะเบียนว่า ” ยกให้ ” ) ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เตรียมการจะฟ้องจำเลยอยู่แล้ว จำเลยจึงมีหนังสือขอผัด แล ข.สามีผู้ร้องได้บอกโจทก์ว่า จำเลยจะโอนที่ดินให้ผู้ร้อง ข.จะจัดการใช้หนี้ ขอโจทก์อย่าฟ้องจำเลย ๆ จึงมอบฉันทะให้ ว.ไปโอนโฉนดให้ผู้ร้อง ๆ ให้เงินไปกับ ว.๔๐๐ บาทโจทก์ไปขอเงินต่อ ว. ๆ บอกว่าจำเลยไม่สั่งไว้ แล
จำเลยมีหนังสือถึง ว.ให้จ่ายเงินแก่โจทก์ ๒๐๐ บาท แต่โจทก์ไม่ไปฟังคำสั่งที่ ว.ดังนี้ โจทก์มาฟ้องจำเลย และจะยึดที่ดินนั้นได้หรือไม่
ศาลเดิมเห็นว่าโจทก์ควรฟ้องทำลายการโอน แลโจทก์ยอมรับรู้ในการโอน จึงให้ถอนการยึด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่โจทก์ไม่ฟ้องรอไว้โดยเชื่อ ข.นั้น จะถือว่าโจทก์ยินยอมไม่ได้ ผู้ร้องรับโอนโดยไม่สุจริต โจทก์มีอำนาจยึดฉะเพาะของจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จะให้ฟ้องใหม่หรือไม่นั้น สุดแล้วแต่ศาลเห็นสมควร และประมวลแพ่ง ม.๒๓๗ ที่ผู้ร้องอ้าง ก็เปนแต่สารบัญญัติสำหรับเจ้าหนี้จะขอเพิกถอนนิติกรรมผู้ร้องกับจำเลยทำกิจการเข้าลักษณะซื้อขายแม้ว่านิติกรรมที่ทำต่อเจ้าพนักงานเปนอย่างอื่น (ยกให้) ตามกฎหมายต้องฟังเอานิติกรรมอันแท้จริง การที่ ข.พูดว่าจะยอมใช้หนี้นั้นเปนการใช้อุบายหน่วงเหนี่ยวโจทก์ให้ฟ้องร้อง เพื่อให้ลูกหนี้ตระบัดสินหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีการพูดล่อลวงเช่นนั้นเลย แลการได้เปนไปโดยสุจริต แลได้ใช้ราคาเพียงพอที่ดินเปนกรรมสิทธิแก่ผู้ร้อง ให้ถอนการยึด