คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายเรือนแม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนก็ดีแต่ตามพฤติการณ์ที่ตกลงให้ชำระราคากันในภายหลังต่อมาถือได้ว่าเป็นสัญญาซื้อและขาย เมื่อได้ชำระหนี้บางส่วนแล้วเช่นนี้ก็ย่อมฟ้องร้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตกลงซื้อเรือนปั้นหยาสองชั้นสองห้องหนึ่งหลังจางโจทก์เป็นเงิน ๒,๘๐๐ บาท โดยจะนำเงินมาชำระให้เสร็จในเดือน ๑๒ ปี พ.ศ.๒๔๙๖ โจทก์มอบเรือนให้จำเลยอยู่อาศัยมาจนทุกวันนี้ ครั้นครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้จำเลยหาได้นำเงินไปชำระให้โจทก์ไม่ โจทก์เตือนให้ชำระจำเลยกลับปฏิเสธและอ้างว่าได้ชำระให้โจทก์หมดแล้วซึ่งไม่เป็นความจริง จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ไม่ประสงค์ขายเรือนรายนี้ให้จำเลย ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากเรือนหลายครั้งแล้วจำเลยไม่ยอมออกจึงขอให้ขับไล่
จำเลย (เป็นสามีภรรยากัน) ให้การและฟ้องแย้งว่าได้ซื้อเรือนจากโจทก์ราคา ๒,๘๐๐ บาท โดยมิได้ทำหนังสือหลักฐานเช่นเดียวกัน โจทก์มอบเรือนให้จำเลยครอบครองเนื่องจากเรือนชำรุดทรุดโทรมมากจำเลยทำการซ่อมและเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเป็นเงิน ๕๒๘๙ บาท ๙๐ สตางค์ จำเลยได้เข้าครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์เพราะได้ชำระราคาค่าเรือนหมดแล้ว โจทก์ไม่มีความชอลธรรมจะมาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งว่าหากว่าการซื้อขายทำไม่ถูกต้องต่างฝ่ายต้องคืนสู่ฐานะเดิมก็ให้โจทก์คืนค่าเรือนและค่าซ่อมแซมให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับที่กล่าวในฟ้องเดิมและว่าการที่จำเลยซ่อมเรือนพิพาทเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องรับผิดชอบเอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้วเห็นว่าการซื้อขายเรือนรายนี้แม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนก็ดี แต่ตามพฤติการณ์ที่ตกลงให้ชำระราคากันภายในหลังต่อมาถือได้ว่าเป็นสัญญาซื้อจะขาย เมื่อได้ชำระหนี้บางส่วนและต่อมาก็ได้ชำระเสร็จสิ้นแล้วเช่นนี้ ก็ย่อมฟ้องร้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะมาฟ้องขับไล่จำเลยส่วนในข้อเท็จจริงศาลฎีกาเห็นว่าพยานจำเลยมีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าศาลทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว จึงพิพากษายืน.

Share