แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้เสียหายต่างรักใคร่กับหญิงคนรักคน ๆ เดียวกัน คนรักถูกผู้ปกครองต่อว่าเสียใจวิ่งขึ้นบนห้อง จำเลยตามขึ้นไปผู้เสียตามขึ้นไปภายหลัง ถามจำเลยว่ามึงมาใหญ่โตที่นี่หรือ จำเลยยกมือไหว้ว่ามีอะไรสั่งสอนผม ๆ นับถือพี่พงษ์ (ผู้เสียหาย) แล้วจำเลยกับผู้เสียหายใช้มือผลักกันไปมาคนรักหนีเข้าห้อง จำเลยวิ่งหนีไปอีกห้องติด ๆ กัน ผู้เสียหายตามเข้าไปกอดคนรักและพูดว่า “พี่อยู่ทั้งคนไม่ต้องกลัว” ทันใดจำเลยอยู่หน้าประตูห้องคนรักก็ยิงผู้เสียหาย ดังนี้การกระทำของผู้เสียหายหาใช่เป็นการข่มเหงไม่และไม่ใช่เป็นการชวนวิวาทเพราะ เมื่อจำเลยหนีเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ผู้เสียหายไม่ได้ติดตามเข้าไปหรือพูดอะไรกับจำเลยอีก ผู้เสียหายพูดว่าจำเลยในฐานเป็นผู้ใหญ่กว่า การผลักกันไปมานั้นก็ไม่หมายความว่าผู้เสียหายผลักจำเลยเป็นการชวนทำร้าย
อาวุธปืนเป็นของร้ายแรง แผลที่จำเลยยิงก็อยู่ใกล้อวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย จำเลยยิงในระยะใกล้ ๆ 1 วาเศษ อย่างน้อย 2 นัด และยิงเพราะความหึงหวงที่ผู้เสียหายกอดหญิงที่ตนรักใคร่ จึงส่อให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าตาม ม.249 ไม่ใช่ 256.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยให้ปืนพกลูกโม่สมิทแอนเวสสัน ยิง ร.ท.สุรพงษ์ ๓ นัด โดย เจตนาจะฆ่าให้ตาย แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญ ร.ท.สุรพงษ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๔๙.๒๕๖.๖๐ ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ได้ยิงป้องกันตัว แต่เห็นว่าจำเลยกับ ร.ท.สุรพงษ์ ไม่มีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน จำเลย ไม่มีเจตนายิงให้ถึงแก่ความตาย เพราะขณะยิงจำเลยอยู่ห่างเพียงวาเศษ ถ้าตั้งใจยิงให้ตายจำเลยอาจยิงถูกที่สำคัญ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๒๕๖ วางโทษจำคุก จำเลย ๔ ปี ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำและผลแห่งการกระทำของจำเลยแสดงถึงเจตนาได้ และฟังว่าจำเลยเจตนาฆ่า พิพากษาโทษตาม มาตรา ๒๔๙,๖๐ จำคุก ๑๐ ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่จำเลยอ้างว่ายิงผู้เสียหายเพราะถูกข่มเหง โดยจำเลยได้เสียกับ นางสาวตีระกา แล้ว ผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ประนามจำเลยต่อหน้า น.ส.ตีระกา ว่า จำเลยใหญ่โตที่นี่หรือ ใช้มือผลักจำเลย
แต่ได้ความว่าผู้เสียหายได้ตามจำเลยขึ้นไปภายหลัง ถามจำเลยว่ามึงมาใหญ่โตที่นี่หรือ จำเลยยกมือไหว้ว่ามีอะไรสั่งสอนผม ๆ นับถือพี่พงษ์ (ผู้เสียหาย) แล้วจำเลยกับผู้เสียหายใช้มือผลักกันไปมา น.ส.ตีระกา หนีเข้าห้อง จำเลยวิ่งหนีไปอีกห้องหนึ่งติด ๆ กัน ผู้เสียหายเข้าตามไปกอด น.ส.ตีระกา และพูดว่า “พี่อยู่ทั้งคนไม่ต้องกลัว ” ทันใดจำเลยอยู่หน้าประตูห้อง น.ส.ตีระกา ก็ยิงผู้เสียหาย การกระทำของผู้เสียหายหาใช่เป็นการข่มเหงไม่ และไม่ใช่เป็นการชวนวิวาท เพราะเมื่อจำเลยหนีเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ผู้เสียหายไม่ได้ติดตามเข้าไปหรือพูดอะไรกับจำเลยอีก ผู้เสียหายพูดว่าจำเลยในฐานเป็นผู้ใหญ่กว่า การผลักกันไปผลักกันมาไม่หมายความว่า ผู้เสียหายผลักจำเลยเป็นการชวนทำร้าย
อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรง แผลที่จำเลยยิงก็อยู่ใกล้อวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย จำเลยยิงในระยะใกล้ ๆ ๑ วาเศษ อย่างน้อย ๒ นัด และยิงเพราะความหึงหวงที่ผุ้เสียหายกอดหญิงที่รักใคร่ส่ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า พิพากษายืน .