คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฟันน้องเขยด้วยมีดหมูตาย แม้เหตุจะเกิดในตลาด แต่เป็นเรื่องในระหว่างครอบครัว และเกิดในบ้านของคนทั้งสองนั้นเอง หาใช่เรื่องคนอื่นบุกรุกเข้าไปทำร้ายหรือเป็นการลอบทำร้ายไม่ จำเลยมีความเสียใจและน้อยใจอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเพราะเหตุที่มารดาขับไล่ออกจากบ้าน เมื่อมาถูกน้องเขยล้อเลียนซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นการเยาะเย้ยอีก จึงฉวยมีดเข้าทำร้ายทันที ดังนี้ เห็นได้ชัดว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้ตายมาแต่แรก แต่โมโหร้ายเกินไปจึงฟันไปทีเดียว เพียงเท่านี้จะถือเอาเป็นเรื่องอุกอาจร้ายแรงตามมาตรา 250 ข้อ 4 หาได้ไม่ จำเลยคงผิดตามมาตรา 249 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจใช้มีดปังต่อ (มีดหมู) ฟันนายสมพล ๑ ทีด้วยความดุร้ายโดยเจตนาจะฆ่าให้ถึงแก่ความตาย นายสมพลได้ถึงแก่ความตายในวันนั้นเอง เหตุเกิดในเคหะสถานอันเป็นที่อยู่อาศัยและร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางตลาดชุมชนการค้าในเขตเทศบาลและเป็นการกระทำที่ดุร้ายเหี้ยมโหดเป็นที่หวาดเสียวแก่ความรู้สึกของประชาชนทั่วไป ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๔๙ – ๒๕๐
นางจิตราภรรยาผู้ตายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพตามข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๔๙ ให้จำคุกตลอดชีวิต แต่ตามทางพิจารณาโจทก์ไม่มีพยานเห็นขณะที่จำเลยฟัน คงมีแต่พยานใกล้ชิดกับเหตุ จำเลยให้การรับสารภาพโดยดี ประกอบกับจำเลยเป็นคนมีร่างกายไม่สมบูรณ์ โดยขาลีบไปข้างหนึ่ง จึงลดโทษกึ่งหนึ่งตาม ม.๕๙ ประกอบด้วย ม. ๓๘(๒) คงให้จำคุกไว้มีกำหนด ๙ ปี มัดของกลางริบ
โจทก์ร่วมผู้เดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะข้อกำหนดโทษว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๑๒ ปี นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลขั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฏีกาต่อมา
ศาลฏีกาเห็นว่าเหตุร้ายรายนี้แม้จะเกิดในตลาดจริงแต่เป็นเรื่องในระหว่างในครอบครัวและเกิดเหตุในบ้านของคนทั้งสองนั้นเอง หาใช่เรื่องคนอื่นบุกรุกเข้าไปทำร้ายหรือเป็นการลอบทำร้ายประการใดไม่ หากแต่จำเลยมีความเสียใจและน้อยใจอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เพราะหตุที่มารดาขับไล่ออกจากบ้านและไม่เกี่ยวข้องขายเครื่องทองรูปพรรณตามปกติอีกด้วย เมื่อมาถูกน้องเขยล้อเลียนซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นการเยาะเย้ยเข้าอีก จึงได้ฉวยมีดเข้าทำร้ายไปในทันที เห็นได้ชัดว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้ตายมาแต่แรก แต่โมโหร้ายเกินไป จำเลยฟันไปเพียงทีเดียว แล้วก็สำนึกในความผิดของตน มิได้หลบหนีไปไหนเลย จนตำรวจมาจับและได้ให้การรับสารภาพตามความสัตย์จริงตลอดมา จะถือเอาเป็นเรื่องอุกอาจร้ายแรงเกินควรหาได้ไม่
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกฎีกาของโจทก์ร่วม.

Share