แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความตอนท้ายคำฟ้องประกอบกับคำขอท้ายฟ้องแสดงว่า เมื่อจำเลยไม่ยินยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมถึงกับมีหนังสือบอกล้างมา โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของโจทก์ แต่ถ้าไม่ได้ โจทก์ก็ขอเอาตามส่วนที่ประนีประนอมกัน และที่จำเลยให้การต่อสู้ก็แสดงว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ประการใด เช่นนี้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันไว้ ต่อมาจำเลยบอกล้างฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ยินยอมให้ระงับหรือเลิกสัญญาแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้อยู่
สัญญาประนีประนอมมีโจทก์กับบุตรโจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1 – 2 อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคู่สัญญา บุตรโจทก์จะร่วมเป็นโจทก์ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ โจทก์ผู้เป็นคู่สัญญาย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญานั้น โดยลำพังได้
โจทก์และบุตรโจทก์แม้เป็นคนต่างด้าวก็เป็นคู่สัญญาประนีประนอมเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ เพราะโจทก์และบุตรจะได้รับอนุญาตให้ได้รับส่วนในที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้าพนักงาน ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างคู่สัญญานี้.
ย่อยาว
เรื่อง ละเมิด ขอให้ทำลายนิติกรรม
ได้ความว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันไว้เกี่ยวกับที่ดินรายพิพาทตามเอกสารหมาย จ. ๔
ศาลฏีกาาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองว่าที่ดินตามสัญญาประนีประนอมหมาย จ. ๔ ข้อ ข. เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนนี้
ข้อกฏหมายที่จำเลยตัดฟ้องว่าฟ้องเคลือบคลุม ศาลฏีกาเห็นว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม เพราะโจทก์กล่าวบรรยายแสดงโดยแจ้งขัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น ความตอนท้ายคำฟ้องประกอบกับคำขอท้ายคำฟ้อง แสดงว่าเมื่อจำเลยไม่ยอมปฏืบัติตามสีญญาประนีประนอมถึงกับมีหนังสือบอกล้างมา โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของโจทก์ แต่ถ้าไม่ได้โจทก์ก็ขอเอาตามส่วนที่ประนีประนอมกัน และที่จำเลยให้การต่อสู้ก็แสดงว่า จำเลยมิได้หลงข้อสู้ประการใด
ที่จำเลยที่ ๒ ว่า เมื่อได้ทำสัญญาประนีประนอมแล้ว นายไหลั้งบุตรโจทก์กลับจะเรียกเงินค่าทนายความเอาอีกมากมาย จำเลยเห็นว่าไม่ตรงตามที่พูดกันไว้จึงบอกล้างสัญญาเสียนั้น ศาลฏีกาเห็นว่าการบอกล้างของจำเลยเป็นการบอกล้างฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ยินยอมให้ระงับหรือเลิกสัญญาแต่อย่างใด ฉะนั้นสัญญาประนีประนอมที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ จึงมีผลใช้บังคีบได้อยู่
ส่วนที่จำเลยโต้แย้งว่า สัญญาประนีประนอมรายนี้ไม่สมบูรณ์ โดยเหตุประการอื่น ๆ อีกนั้น ศาลฏีกาเห็นว่าการที่จำเลยที่ ๑ ได้ร่วมเป็นคู่สัญญาด้วยก็ดี นายไหลั้งเข้ามาเป็นคู่สัญญาร่วมด้วยก็ดี นายไหลั้งซึ่งเป็นคู่สัญญาด้วยมิได้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ดี โจทก์และนายไหลั้งเป็นคนต่างด้าวไม่แน่นอนว่าจะได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ดี หรือการที่มีข้อความในสัญญาเรื่องโรงเจด้วย ซึ่งจำเลยที่ ๑ ยกให้เป็นสาธารณะมาก่อนแล้วก็ดี เหล่านี้หาทำให้สัญญาประนีประนอมเสียไปทั้งหมดไม่
ศาลฏีกาเห็นว่า สัญญาประนีประนอมมีโจทก์กับนายไหลั้งบุตรโจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สัญญา นายไหลั้งจะรวมเป็นโจทก์ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ โจทก์ผู้เป็นคู่สัญญาย่อมฟ้องโดยลำพังได้ ส่วนที่โจทก์และนายไหลั้งเป็นคนต่างด้าวก็ไม่สำคัญ เพราะเป็นเรื่องของเจ้าพนักงานจะอนุญาตให้ได้รับส่วนในที่ดินหรือไม่ ในชั้นนี้ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย และข้อความในสัญญาเรื่องโรงเจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากเรื่องส่วนได้ของโจทก์จำเลยตามสัญญา ไม่ทำให้ข้อตกลงในเรื่องส่วนได้ของโจทก์จำเลยต้องเสียไป.