แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเรื่องชำระค่าเช่า จำเลยนำค่าเช่าไปชำระให้โจทก์ โจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าจากจำเลยเอง ดังนี้ เท่ากับจำเลยยอมรับว่าได้ค้างค่าเช่าโจทก์อยู่จริง จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบให้สมข้อต่อสู้ เมื่อจำเลยไม่สืบพยานจำเลยก็ต้องแพ้คดี
ย่อยาว
คดี ๕ สำนวนนี้โจทก์ฟ้องใจความอย่างเดียวกันว่า ขอให้จำเลยแต่ละสำนวนออกจาห้องเช่า ของโจทก์และเรียกค่าเช่าที่ค้างโดยอ้างว่าจำเลยแต่ละสำนวนผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๔๙๙ ตลอดมา โจทก์ทวงถามจำเลยเพิกเฉยเสีย โจทก์บอกเลิกสัญญาให้จำเลยแต่ละสำนวนออกจากห้องเช่า
จำเลยแต่ละสำนวนต่อสู้อย่างเดียวกันว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเรื่องชำระค่าเช่า โจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าจากจำเลย จำเลยได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา คู่ความแถลงว่าห้องพิพาทอยู่ในเขตเทศบาลเมืองบ้านโป่ง และไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทุกสำนวน แต่คำขอเรียกค่าเช่าให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง ๕ สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก็ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยนำค่าเช่าไปชำระให้โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับดังนี้ เท่ากับจำเลยยอมรับว่าได้ค้างค่าเช่าโจทก์อยู่จริง จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบให้สมข้อต่อสู้ เมื่อจำเลยไม่สืบพยาน ก็ไม่มีทางชนะคดีโจทก์ได้
พิพากษายืน