คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างและเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. 12499 ได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยที ่1 ซึ่งเป็นลูกจ้างในตำแหน่งหัวหน้าช่างเครื่องยนต์ของบริษัท จำเลยที่ 2 ไปใช้ในตำแหน่งหน้าที่และในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันนั้น โดยตาวประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายนั้นเป็นการเพียงพอที่จะให้เข้าใจได้แล้วว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้ขับรถนั้นโดยความประมาทเป็นเหตุให้ชนรถโจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวเป็นการกระทำในทางการที่จำเลยที่ 2 จ้าง
ในชั้นสถานีตำรวจเปรียบเทียบลูกจ้างขับรถของโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ซึ่งขับรถชนรถโจทก์ว่าเพียงให้จำเลยซ่อมรถของโจทก์เท่านั้น ข้อตกลงเช่นนี้ ไม่ผูกพันโจทก์ เพราะผู้นั้นเป็นแต่เพียงลูกจ้างขับรถของโจทก์ โจทก์มิได้มอบหมายให้ตกลงในเรื่องค่าเสียหายอย่างใดเลย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7 / 2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหาย ๑,๓๔๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์ในการที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ละเมิดขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้างและชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และรถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ เป็นจำเลยที่ ๒ จริง ต่อจำเลยที่ ๑ เอารถนั้น ไปใช้กิจธุระส่วนตัว ที่รถชนกันเป็นความผิดของคนขับรถของโจทก์ที่เลี้ยงรถในระยะกระชั้นชิดโดยไม่ให้อาณัติสัญญาณและเรื่องนี้ได้มีสัญญาประนีประนอมกันแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑,๓๒๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ในฎีกาข้อที่ว่าการบรรยายฟ้องคดีนี้จะทำให้จำเลย ที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๕ หรือไม่นั้น ศาลฎีกา โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่ฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างและเจ้าของรถยนต์ ก.ท. ๑๒๔๙๙ ได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างในตำแหน่งหัวหน้าช่างเครื่องยนต์ของบริษัทจำเลยที่ ๒ ไปใช้ในตำแหน่งหน้าที่และในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์คันนั้น โดยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ ของโจทก์เสียหายนั้น เป็นการเพียงพอที่จะให้เข้าใจได้แล้วว่า การที่จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถนั้น โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายนั้น เป็นการเพียงพอที่ให้เข้าใจได้แล้วว่าการที่จำเลยที่ ๑ ได้ขับนั้น โดยความประมาทเป็นเหตุให้ชนรถโจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าว เป็นการกระทำในทางการที่จำเลยที่ ๒ จ้าง และข้อเท็จจริงข้อนี้ศาลทั้งสองฟังว่าโจทก์นำสืบได้สมฟ้อง จำเลยมิได้นำสืบในข้อนี้ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดร่วมกันกับจำเลยที่ ๑ ในผลแห่ง ละเมิดนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๕
ในชั้นสถานีตำรวจเปรียบเทียบ นายชื้นลูกจ้างขับรถของโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยที่๑ ซึ่งขับรถชนรถโจทก์ว่า เพียงให้จำเลยที่ ๑ ซ่อมรถของโจทก์เท่านั้น ข้อตกลงเช่นนี้ไม่ผูกพันโจทก์ เพราะนายชื้นเป็นแต่เพียงลูกจ้างขับรถ โจทก์หาได้มอบหมายให้ตกลงในเรื่องค่าเสียหายอย่างใดไม่
สำหรับข้อที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุที่ว่า “คดีไม่ปรากฏว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องในคดีนี้เป็นค่าเสียหายที่บริษัทรับประกันภัยต้องชดใช่แทนจำเลยตามสัญญาประกันภัย ดังนั้น การลงนามของโจทก์ในเอกสาร ล.๑ จึงผูกพันแต่เฉพาะค่าซ่อมรถเท่านั้น” เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วย เพราะประเด็นในคดีนี้มีว่า จำเลยจะต้องรับผิดในค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถตามฟ้องหรือไม่เท่านั้น ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะในข้อที่ วินิจฉัยนอกประเด็นนั้นเสีย และให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นข้อที่ว่าที่โจทก์ลงนามในเอกสารหมาย ส. ๑ เป็นการกระทำโดยสำคัญผิดหรือไม่ และจะผูกพันโจทก์ หรือไม่ แล้วพิจารณา ใหม่ ตามรูปความ

Share