คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2479

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อจะขายเรือนถ้าหาว่าได้มีการวางมัดจำชำระหนี้ไว้บางส่วนแล้วก็สมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
ทำสัญญาจะซื้อขาย แล้วผู้ซื้อเช่าทรัพย์นั้นไป เมื่อผิดสัญญาเขา ผู้ขายเรียกทรัพย์คืนได้(เพราะมอบทรัพย์ให้ในฐานเช่า ไม่ใช่ฐานซื้อขาย)
การปกครองโดยอาศัยสัญญาเช่า ไม่เรียกว่าปกครองโดยปรปักษ์
ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ แล้ว ผู้ซื้อเช่าทรัพย์นั้นทำผิดสัญญาเช่า คงบังคับกันได้แต่ฉะเพาะกรณีที่ผิดสัญญาเช่าเท่านั้น หาเป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของคู่สัญญาที่มีต่อกันตามสัญญาจะซื้อจะขายไม่

ย่อยาว

คดีนี้ได้ความว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อเรือนของโจทก์เป็นเงิน ๕๖๐ บาท โดยได้วางเงินมัดจำไว้ ๒๘๖ บาท แลตกลงว่าระหว่างที่จำเลยยังมิได้ชำระเงินที่เหลือจำเลยยอมเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ ๔ บาท แต่ตามสัญญาไม่ปรากฎว่าจำเลยต้องชำระเงินที่เหลือนั้นเมื่อใด จำเลยค้างชำระค่าเช่า ๒๒๔ บาท บัดนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่า ๒๒๔ บาท บัดนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าที่ค้าง ขอริบเงินมัดจำ แลเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย
จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้เช่าจากโจทก์โดยได้ชำระเงินที่ค้างเสร็จสิ้นไปแล้ว แลจำเลยได้ครอบครองเรือนรายนี้ในฐานเป็นเจ้าของมา ๑๑-๑๒ ปีแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่มีหลักฐานอย่างใดมาแสดงโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าหากจำเลยได้ชำระราคาเสร็จสิ้นไปแล้ว จำเลยคงจะจัดให้โจทก์โอนกรรมสิทธิต่อหอทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แลการที่จำเลยไปอยู่ในเรือนรายนี้แลตกลงจะให้ค่าเช่าแก่โจทก์ก็โดยความยินยอมของโจทก์ ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิโดยปกครองมา ๑๑-๑๒ ปี ก็ตกไป จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าแก่โจทก์แลให้ขับไล่จำเลย เพราะจำเลยผิดสัญญาเช่าแต่โดยที่จำเลยไม่ผิดสัญญาจะซื้อขาย คำพิพากษาจึงไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ จำเลยอันมีอยู่ตามสัญญาจะซื้อขายนั้นอย่างใด

Share