แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตกลงแต่งงานโดยมีเจตนามาแต่แรกว่าจะจดทะเบียนสมรสกัน แต่แล้วต่อมาฝ่ายหญิงไม่ยอมไปจดทะเบียน ชายย่อมมีสิทธิเรียกสินสอดของหมั้นคืนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้ไปสู่ขอจำเลยที่ ๒ เป็นภรรยาต่อจำเลยที่ ๑ ได้แต่งงานกันตามประเพณีแล้ว โดยโจทก์เสียเงินหมั้น ๑,๐๐๐ บาท และสินสอด ๔,๐๐๐ บาท ภายหลังจากวันแต่งงานโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ไปจดทะเบียนสมรสกัน แต่จดไม่ได้เพราะจำเลยที่ ๒ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบิดาไปลงชื่อให้ความยินยอม แต่แล้วต่อมาจำเลยที่ ๑,๒ ก็ไม่ยอมไปจดทะเบียนให้ความยินยอม จึงขอให้ศาลบังคับ ถ้าจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนก็ให้คนเงินหมั้นและสินสอด ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับเงินหมั้นและสินสอดไว้ มารดาจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับและได้คืนให้โจทก์ไปหมดแล้ว โจทก์จำเลยไม่ได้เจตนาจะจดทะเบียนสมรสกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินหมั้นคืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินหมั้นและสินสอดศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่าเงินหมั้นและสินสอดยังอยู่ที่จำเลย โจทก์และจำเลยมีเจตนามาแต่แรกว่าจะจดทะเบียนสมรสกัน การที่ไม่ได้จดทะเบียนนี้เพราะจำเลยไม่ยอม ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน