แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เข้าหุ้นกันซื้อที่ดินแล้วขายเอากำไร ก็เรียกว่าเปนหุ้นส่วนกันได้การเข้าหุ้นกันซื้อที่ดินแล้วถูกผู้ขายริบเงินมัดจำเพราะผิดสัญญาไม่เปนเหตุพอจะถือว่าหุ้นส่วนได้เลิกจากกัน เทียบฎีกาที่ 1152/131 1179/131, 844/2468
ย่อยาว
คดีนี้คู่กรณีตกลงกันขอให้ศาลวินิจฉัยแต่ประเด็นข้อเดียวว่า โจทก์จำเลยเปนหุ้นส่วนกันหรือไม่เท่านั้น แล้วจะจัดการแบ่งปันกันเอง
ทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์จำเลยเข้าหุ้นกันจะซื้อที่ดินของ ม. แลได้ไปยืมเงินผู้มีชื่อมาวางมัดจำ ครบกำหนดไม่นำเงินค่าที่ไปชำระ ม. จึงริบเงินมัดจำเสีย ต่อมาจำเลยไปทำสัญญาซื้อที่ดินจาก ม.คนเดียว แลได้ความต่อไปว่าเมื่อ ป.มาขอแบ่งซื้อที่ดินรายนี้ จำเลยก็พา ป.ไปหาโจทก์เพื่อพูดจาตกลงกันในเรื่องราคาที่ดิน แต่ ป.ขอผัดปรึกษาพวกดูก่อน ต่อมาจำเลยบอกโจทก์ว่าได้ตกลงแบ่งขายที่ดินให้ ป.๗๕ ไร่ราคา ๖๐๐๐๐ บาท แลภายหลังจำเลยยังมีจดหมายถึงโจทก์บรรยายถึงกิจการที่จำเลยปฏิบัติไปในเรื่องซื้อแลขายที่ดิน กับมีใจความบางตอนที่จำเลยปรึกษาโจทก์ถึงเรื่องหุ้นส่วนที่ดินรายนี้ว่าจะเปนการยุ่งยากแก่เด็ก ๆ ภายหน้า ถ้าโจทก์หาเงินไปให้จำเลย ๗๐๐๐๐ บาทแลค่าทำถนนกึ่งหนึ่งแล้ว จำเลยจะโอนที่ ๆ เหลือให้โจทก์ ๆ ก็ได้บันทึกข้อความลงตอนท้ายของหนังสือนั้นแล้วส่งให้แก่จำเลยดังนี้
ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลล่างทั้ง ๒ ว่าโจทก์จำเลยยังเปนหุ้นส่วนกันอยู่ แลกล่าวต่อไปว่าในฎีกาของจำเลยซึ่งเถียงข้อกฎหมายขึ้นมาว่า สัญญาระวางโจทก์จำเลยเปนสัญญารวมทุนกันซื้อที่ดิน ไม่ใช่เปนสัญญาเข้าหุ้นส่วนตาม พ.ร.บ.ลักษณเข้าหุ้นส่วนแลบริษัท ร.ศ.๑๓๐ นั้น เห็นว่าข้อเถียงของจำเลยไม่มีหลักในกฎหมาย เพราะตาม ม.๔ แห่ง พ.ร.บ.ที่กล่าว ได้นำมาประมวลไว้ใน ม.๑๐๑๒ แห่งประมวลแพ่งแล้ว คือ สัญญาซึ่งบุคคลแต่ ๒ คนขึ้นไปตกลง+เข้ากันเพื่อทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้นดังนี้การซื้อที่ดินแล้วขายเอากำไรก็เปนหุ้นส่วนกันได้ไม่มีบทหรือหลักเกณฑ์ที่ใดจำกัดห้าม จึงให้ยกฎีกาจำเลยเสีย