คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2475

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนประมวลแพ่งกรรมสิทธิในทรัพย์ที่ขายฝากอยู่กับผู้ขายฝาก เรื่อนซึ่งปลูกบนที่ดินนับว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ยอมให้เรือนที่ขายฝากหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับซื้อฝากเมื่อใช้ประมวลแพ่งแล้วโดยทำกันเองใช้ไม่ได้ เมื่อผู้ขายฝากเอาเรือนนี้ขายให้บุคคลที่ 3 ต่อไปอีกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว บุคคลที่ 3 ย่อมได้กรรมสิทธิ สัญญายอมความซึ่งมิได้ทำเป็นหนังสือใช้ไม่ได้

ย่อยาว

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗ ป.ทำสัญญากันเองขายฝากเรือน ๓ ชั้นไว้แก่โจทก์เป็นเงิน ๒๑๒๐ บาท มีกำหนดไถ่ภายใน ๒ ปี ถ้าไม่ไถ่ยอมให้เรือนหลุดเป็นสิทธิ พ.ศ. ๒๔๖๙ ป.ยอมมอบเรือนรายนี้ให้เป็นสิทธิแก่โจทก์ แล ป. ก็คงอยู่ในที่แลเรือนรายนี้ต่อมา ครั้น พ.ศ. ๒๔๗๐ ป.กลับไปทำสัญญาต่อหอทะเบียนขายที่แลเรือนรายนี้ให้จำเลยเป็นเงิน ๙๕๐๐ โดยจำเลยมิได้รู้ว่า ป.ขายฝากโจทก์ไว้ ภายหลังโจทก์จะไปทำ จำเลยบอกเรื่องให้ทราบจำเลยจึงบอกให้โจทก์ขายที่แลเรือนนี้ ถ้าขายได้เท่าไรมาแบ่งกัน โดยคิดเป็นค่าที่ของจำเลย ๑๑๐๐๐ บาท เป็นค่าเ่รือนจำเลยไม่ยอมแบ่งให้ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินค่าเรือนจากจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขายฝากนี้ทำก่อนประมวลแพ่ง กรรมสิทธิยังอยู่กับ ป. แล ตาม ม. ๑๐๐ – ๔๙๑ เรือน ๓ ชั้นที่ปลูกอยู่กับที่ดินนี้ต้องนับว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ ฉะนั้นการที่ ป.ยอมให้เรือนหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ตามสัญญาขายฝากเมื่อขณะใช้ประมวลแพ่งแล้วโดยมิได้ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายดังนี้ เรือนจึงไม่เป็นสิทธิแก่โจทก์ ตาม ม. ๕๒๕ เมื่อเรือนนี้ปลูกในที่ดินจำเลยได้ซื้อทั้งเรือนแลที่ ๆ จึงเป็นสิทธิแก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้อที่จำเลยว่าให้ โจทก์ไปจัดการขายที่แลเรือนได้ จำเลยจะแบ่งเงินให้โจทก์นั้น ถ้าโจทก์ถือว่าเป็นสัญญายอมความก์มิได้ทำเป็นหนังสือ ตาม ม. ๘๕๐ – ๘๕๑ จึงไม่ผูกพันธ์จะฟ้องจำเลยไม่ได้

Share