แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้าหลวงประจำจังหวัดซึ่งมีหน้าที่รับตั๋วสลากกินแพ่งไปจำหน่ายแล้วยักยอกเงินที่ขายได้ไปเป็นประโยชน์ตนเสียต้องมีความผิดตามมาตราข้างต้น ประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.2 (14) -44 อำนาจฟ้องจำเลยยักยอกเงินค่าขายสลากกินแบ่งบำรุงเทศบาลอันนับว่าเป็นรายได้ของแผ่นดินนอกงบประมาณประเภทหนึ่งนั้น อัยยการย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องได้ ป.พ.พ.ม.291 ผู้ที่สมคบกันยักยอกเงินต้องร่วมกันใช้ เงินนั้นหมดโดยไม่ต้องพิจารณาว่าใครเป็นผู้ได้เงินไปเท่าใด
ย่อยาว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าหลวงบุเรศบำรุงการผู้เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดสมุทรสงครามได้รับสลากกินแบ่งบำรุงเทศบาลทั่วไปครั้งที่ ๒ จากกองสลากกินแบ่งกระทรวงมหาดไทยไปจำหน่าย แล้วสมคบร่วมมือกับนายช่วงผู้เป็นอักษรเลขประจำจังหวัดยักยอกเงินที่ขายได้ไปเป็นประโยชน์ช่วนตัวเสีย มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๑ ให้จำคุกหลวงบุเรศฯ ๗ ปี นายช่วง ๓ ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการออกสลากกินแบ่งนี้ได้ทำขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เพื่อเอาเงินบำรุงเทศบาลทั่ว ๆ ไปต้องถือว่าเป็นราชการส่วนหนึ่ง และเงินนี้นับว่าเป็นรายได้ของแผ่นดินนอกงบประมาณอัยยการยักยอกย่อมมีอำนาจฟ้องได้ ส่วนฎีกาข้อ ๒ นั้นเห็นว่าจำเลยกระทำทั้งใน ๒ ฐานะแยกไม่ออก แม้การขายเป็นการส่วนตัว แต่การจ่ายสลากให้ไปขายเป็นส่วนข้าหลวงประจำจังหวัด เงินที่ขายได้จะว่าส่งแล้วรับแล้วอยู่ในมือข้าหลวงก็ได้ทั้ง ๒ ฐานะ ที่ศาลล่างยกมาตรา ๑๓๑ มาลงโทษ จึงเป็นการชอบข้อที่ศาลอุทธรณ์บังคับให้จำเลยช่วยกันใช้ทรัพย์ก็เป็นการชอบแล้ว เพราะจำเลยสมคบกันยักยอก ใครจะได้เงินไปเป็นจำนวนเท่าใดไม่สำคัญ จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง