แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้คำมั่นจะขายแลจะให้เช่าที่ดิน แต่มิได้มีหนังสือเป็นหลักฐานต่อกันไว้ โจทก์ยอมรับซื้อแลเช่าภายหลังจำเลยไม่ยอมโจทก์จะฟ้องขอให้บังคับการซื้อขายและการเช่าไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลย ๆจะยอมให้โจทก์ซื้อที่คืนได้ภายหลัง โดยจำเลยมิได้ตั้งใจหลอกลวงโจทก์ในขณะนั้นโจทก์จึงขายที่ให้จำเลยแล้วจำเลยกลับไม่ยอมให้โจทก์ซื้อคืนดังนี้ เป็นเรื่องผิดสัญญาหาเป็นกลฉ้อฉลอันจะให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่
ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.148 ศาลพิพากษาให้โจทก์โอนขายที่ดินให้จำเลยแล้วภายหลังโจทก์มาฟ้องอ้างว่ามีข้อตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินคืนได้ จึงขอให้จำเลยโอนที่ดินคืนดังนี้ ฟ้องได้ไม่ต้องห้าม
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องแลนำสืบว่าโจทก์ขอจำนองที่ดินรายพิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน ๒๕๐๐ บาทแก่จำเลย ๆ ไม่รับอ้างว่าตามลัทธิสาสนาห้ามไม่ให้กินดอกเบี้ย ถ้าต้องการเงินต้องทำเป็นขายแล้วจำเลยจะทำสัญญาอีก+หนึ่งต่างหากให้โจทก์ซื้อที่ดินคืนได้ โจทก์เชื่อจึงยอมตกลงด้วยจำเลยจึงร่างหนังสือขึ้น ๒ ฉะบับ ฉะบับ ๑ เป็นสัญญาจะขายที่ดินให้จำเลยเป็นเงิน ๒๕๐๐ บาท อีกฉะบับ ๑ ว่าภายใน ๓ ปีจำเลยยอมให้โจทก์เช่าที่รายนี้ และถ้าไม่ค้างค่าเช่ายอมให้ซื้อที่ดินได้ตามราคาที่ซื้อไว้ โจทก์จึงลงชื่อในสัญญาจะซื้อขายรับเงินมัดจำจากจำเลย แต่สัญญาอีกฉะบับ ๑ ตกลงกันว่าจะไปลงชื่อกันเมื่อโอนขายที่หอทะเบียน ต่อมาการโอนขายที่รายนี้ไม่สำเร็จ เพราะโฉนดมีชื่อบุตรโจทก์อยู่ด้วย จำเลยจึงแนะนำโจทก์ว่าต้องให้จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ศาลบังคับการโอนให้ตามสัญญามัดจำโจทก์ตกลงด้วยจำเลยจึงฟ้องโจทก์แลศาลพิพากษาให้โจทก์โอนขายที่ดินให้จำเลยแล้ว จำเลยกลับไม่ยอมลงชื่อในสัญญาที่จะให้โจทก์รับซื้อที่ดินคืน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์เข้าทำสัญญากับจำเลยโดยหลงกลฉ้อฉลของจำเลยที่ว่ายอมทำสัญญาให้โจทก์ซื้อที่ดินคืน มิฉะนั้นโจทก์คงไม่ทำสัญญาให้ สัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆียะกรรมโจทก์มีอำนาจบอกล้างได้ จึงพิพากษาให้ทำลายสัญญาซื้อขายโอนที่ดินกลับคืนเป็นของโจทก์ตามเดิม แลให้จำเลยคืนเงิน ๒๕๐๐ บาทให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อที่โจทก์ฟ้องขอให้ทำสัญญาดังคำมั่นของจำเลยนั้น เห็นว่ามิได้ทำหลักฐานกันไว้เป็นลายลักษณอักษร แลเห็นว่าเป็นแต่เพียงผิดสัญญาหาเป็นกลฉ้อฉลไม่ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่า (๑) โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทำตามสัญญาที่ตกลงไว้ว่าจะให้ซื้อคืนหรือให้เช่าต่างหาก หาใช่ขอให้บังคับการขายหรือการเช่าดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่
(๒) จำเลยได้ทำกลฉ้อฉลให้โจทก์หลงเข้าทำสัญญาด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาข้อ ๑ ตาม ม. ๔๕๖ และ ๕๓๗ คำมั่นจะซื้อหรือจะขายก็ดี ในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ดี กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ถ้าจะบังคับให้จำเลยทำสัญญาจะขายหรือให้เช่าแล้ว ก็เป็นการบังคับโดยทางอ้อม ให้เกิดผลที่จะบังคับการซื้อขายแลการเช่าโดยไม่ต้องมีหนังสือเป็นหลักฐานตามที่กฎหมายบังคับไว้ กฎหมาย ๒ มาตรานี้จึงไม่อาจเกิดผล ส่วนฎีกาข้อ ๒ ที่ว่าจำเยตกลงจะซื้อคืนแล้วไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะเป็นกลฉ้อฉลหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมขายคืนนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยปฏิเสธไม่ทำการที่ได้ตกลงไว้ว่าจะทำในเบื้องน่ามิได้เอาความเท็จที่มีอยู่มากล่าวให้โจทก์หลง จึงไม่เป็นกลฉ้อฉล จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์