แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช่าเครื่องมือในการตัดผมและเครื่องอุปกรณ์อื่นในร้านตัดผมของเขาไว้ เปิดทำการตัดผมคิดค่าเช่าเป็นรายเดือน และชำระค่าเช่าเรื่อยมา ภายหลังกลับเอาเครื่องมือและเครื่องอุปกรณ์เหล่านั้นไปโอนขายแก่ผู้อื่นเสีย ดังนี้ผู้รับซื้อไม่ได้กรรมสิทธิและไม่ใช่กรณีตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1303 และไม่เข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 1332 เจ้าของยังคงมีสิทธิตามเอาคืนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าเครื่องอุปกรณ์การตัดผมและทรัพย์สิ่งของในร้านตัดผม ของโจทก์ไปจากโจทก์ แล้วต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้มีเจตนาทุจริตนำเอาทรัพย์สิ่งของที่ได้รับมอบให้เช่าจากโจทก์ไปโอนขายให้กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ทรัพย์ที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับซื้อไว้ยังเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ การซื้อขายไม่ผูกพันโจทก์ และขอให้คืนทรัพย์นั้นแก่โจทก์ หรือใช้ราคา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ – ๓ ไม่มีผลผูกพันธ์โจทก์ ของยังเป็นกรรมสิทธิของโจทก์อยู่จึงขอให้จำเลยคืนแก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถคืนก็ให้ใช้ราคา
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีเข้าตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๐๓ และตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๙/๒๔๘๖ เห็นว่าทรัพย์พิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลยๆ ได้เสียค่าตอบแทนโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า มีหลักทั่วไปว่าผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เว้นแต่จะได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษดั่งเช่นมาตรา ๑๓๓๒ แต่กรณีนี้ไม่เข้าลักษณะบทยกเว้น เพราะกรณีจำเลยที่ ๓ ซื้อจากจำเลยที่ ๑ นั้น ไม่ได้ซื้อในการขายทอดตลาด ไม่ใช่ในท้องตลาด และไม่ใช่จากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ทั้งไม่ใช่กรณีตามมาตรา ๑๓๐๓ เพราะเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ ๓ ได้มาโดยการกระทำผิดฐานยักยอกของจำเลยที่ ๑
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลแพ่ง