แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่เจ้าหนี้รับเงินจากลูกหนี้น้อยกว่าที่กำหนดในสัญญานั้น ไม่เรียกว่าเปนการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ซึ่งจะถือเปนเหตุให้ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิดไปได้ และพฤติการเช่นนี้ก็ไม่ใช่เปนการแปลงหนี้ใหม่
ย่อยาว
จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๒ ฉะบับรวมเงิน ๙๒๐ บาท จำเลยที่ ๒ เปนผู้ค้ำประกันตามหนังสือกู้ฉะบับที่ ๑ จำเลยที่ ๑ สัญญาจะผ่อนส่งเงินเดือนละ ๕๐ บาท ฉะบับที่ ๒ สัญญาผ่อนส่งเดือนละ ๒๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ส่งเงินให้เดือนละ ๒๐ บาทบ้าง ๓๐ บาทบ้าง โจทก์ก็ยอมรับเอาตามแต่จำเลยจะส่งให้ จนยังเหลือเงินอยู่อีก ๓๑๐ บาทดังนี้ มีปัญหาว่าการที่โจทก์รับเงินจากจำเลยที่ ๑ น้อยกว่าที่กำหนดในสัญญา จะเปนการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ หรือเปนการแปลงหนี้ใหม่ตามกฎหมาย ซึ่งเปนเหตุให้จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่
ศาลแพ่งเห็นว่าเปนการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ยินยอมด้วย จำเลยที่ ๒ พ้นจากความรับผิดตามประมวลแพ่ง ม.๗๐๐ จึงตัดสินให้จำเลยที่ ๑ ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เปนการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ จึงตัดสินแก้ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดใช้หนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาเห็นว่า เพียงแต่โจทก์รับเงินตามแต่จำเลยที่ ๑ จะส่งให้นั้น ไม่เปนการผ่อนเวลาตามกฎหมาย เพราะไม่เปนการผูกมัดโจทก์อย่างใด และเห็นว่ากิริยาเช่นนี้ ก็ไม่เปนการแปลงหนี้ใหม่ เพราะไม่ใช่เปนการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเปนการสำคัญแห่งหนี้นั้น จึงตัดสินยื่นตามศาลอุทธรณ์