เรื่อง ละเมิด (ทางการแพทย์)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3739/2560
ใช้เวลาอ่านประมาณ 1 นาที
การวิเคราะห์โรคของผู้ป่วยนั้นต้องกระทำเป็นขั้นตอนโดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ ผู้ที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้จึงต้องเป็นแพทย์เท่านั้น ที่โจทก์อ้างขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์โรคจำเลยที่ 1 ยังไม่ถูกต้องสมควรตามมาตรฐานและหลักวิชาการแพทย์นั้น นายแพทย์ จ. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่วยหูและฐานกะโหลกศีรษะ ภาควิชาโสตศอนาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับหู เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 2 ว่า วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 โจทก์มาพบพยานแจ้งอาการว่าหูไม่ได้ยิน พยานตรวจหูทั้งสองข้างพบว่าประสาทหูของโจทก์ผิดปกติ จึงส่งโจทก์ไปตรวจการได้ยินด้วยเครื่องวัดการได้ยินได้ผลว่าโจทก์มีประสาทหูทั้งสองข้างเสื่อมจริงโดยข้างซ้ายหนวกสนิทข้างขวายังมีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง แต่เสื่อมระดับรุนแรง วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 พยานได้ตรวจร่างกายโจทก์เพิ่มเติมพบว่าโจทก์มีอาการหน้าซีกซ้ายชา ลิ้นซีกซ้ายทำงานผิดปกติ เมื่อได้ความเช่นนั้นจึงส่งตรวจด้วยเครื่องเอกซ์เรย์คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเครื่องเอ็มอาร์ไอพบว่ามีก้อนเนื้องอกที่เส้นประสาทสมองเส้นที่ 8 ทั้งสองข้าง ซึ่งเห็นได้ว่าขั้นตอนและวิธีในการตรวจผู้ป่วยของนายแพทย์ จ.ก็ไม่ต่างไปจากการตรวจรักษาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้เมื่อย้อนดูประวัติที่โจทก์ไปรับการตรวจรักษากับแพทย์อื่นในโรงพยาบาลลำพูนหลังการตรวจรักษากับจำเลยที่ 1 จึงน่าเชื่อว่าขณะรับการตรวจรักษาจากจำเลยที่ 1 และแพทย์อื่นในโรงพยาบาลลำพูน อาการของโจทก์ยังไม่ปรากฏให้เป็นข้อสงสัยว่าโจทก์เป็นโรคนิวโรไฟโปรมาโตซิส ไทน์ทู อันจะต้องส่งโจทก์ไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นที่มีเครื่องมือดีกว่าโรงพยาบาลลำพูน เชื่อว่าการตรวจวินิจฉัยโรคของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์เป็นการใช้ความรู้ความสามารถตามมาตรฐานหลักวิชาชีพแพทย์โดยทั่วไปอย่างละเอียดเหมาะสมแล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ผลการวินิจฉัยผิดพลาดของจำเลยที่ 1 ทำให้จิตแพทย์ของโรงพยาบาลลำพูนส่งโจทก์ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลโรคจิตโดยเฉพาะส่งผลให้อาการของโจทก์กำเริบหนักขึ้นนั้น เห็นว่า นายแพทย์ ว. เป็นผู้วินิจฉัยว่าโจทก์มีอาการทางจิตและส่งตัวโจทก์ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง โดยวิเคราะห์จากอาการที่ปรากฏในขณะที่โจทก์มารับการรักษากับนายแพทย์ ว. ประกอบกับคำยืนยันของมารดาโจทก์ในขณะนั้น หาได้เป็นการวินิจฉัยโรคและสั่งการของจำเลยที่ 1 หรือใช้ข้อมูลจากใบรับรองแพทย์ที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่โจทก์ในการวินิจฉัยโรคของโจทก์แต่อย่างใดเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง