แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ธรณีสงฆ์แม้จะครอบครองทำประโยชน์มาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
จำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่า หากศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จะต้องใช้ค่าที่ดินเพิ่มขึ้นให้จำเลยโดยจำเลยขอสงวนสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกจากโจทก์ต่อไปเท่านั้นจำเลยหาได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์มาในคำให้การด้วยไม่ศาลจึงไม่อาจบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นได้
การกำหนดความรับผิดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความของคู่ความนั้น ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการต่อสู้คดี
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย และให้ใช้ค่าเสียหาย 150,000 บาทกับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายเป็น 10,415 บาทกับดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคุณหญิงสมบูรณ์ยกที่พิพาทให้เป็นสมบัติของวัดโจทก์ ดังนั้นที่พิพาทจึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ แม้จำเลยจะครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 721/2504 ระหว่างวัดกลาง โจทก์ นายบัวคำเมือง จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 1288/2513 ระหว่างวัดราชประดิษฐารามหรือรามัญ โจทก์ กระทรวงการคลัง จำเลย
ที่จำเลยฎีกาว่า หากศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ควรจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สิ่งก่อสร้างอันจะถือว่าเป็นค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นจำนวน 485,000 บาทให้แก่จำเลย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 นั้น เห็นว่า ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยให้การไว้แต่เพียงว่าหากศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จะต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพิ่มให้จำเลย โดยจำเลยขอสงวนสิทธิที่จะฟ้องเรียกจากโจทก์ต่อไปเท่านั้น จำเลยหาได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์มาในคำให้การด้วยไม่ จึงไม่อาจบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นดังที่จำเลยอ้างนั้นได้” ฯลฯ
“ปัญหาสุดท้ายที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ จำเลยควรรับผิดใช้แทนโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อคำนึงถึงเหตุสมควรและความไม่สุจริตในการต่อสู้คดีของจำเลยแล้ว เห็นควรให้จำเลยรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้เป็นเงิน 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ด้วย โดยกำหนดค่าทนายความให้เป็นเงิน 5,000 บาท โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานั้น ให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ผู้ฟ้องอุทธรณ์ฎีกาอย่างคนอนาถา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง”