แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้อื่นใดที่มิได้รับอนุญาตเป็นทนายความหรือตัวความหามีอำนาจแต่งฟ้องได้ไม่
เมื่อผู้เรียงคำฟ้องไม่ได้รับอนุญาตเป็นทนายความ ฟ้องโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้อง ศาลจะรับไว้ดำเนินคดีต่อไปหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2499)
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยขอให้ศาลบังคับชำระเงิน ๓๑,๖๘๗.๕๐ บาท จำเลยต่อสู้ว่าหนี้ค้าง ๑๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น ไม่เท่าที่ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง หลังชี้สองสถานแต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลยกขึ้นพิจารณาเบื้องต้นพิพากษายกฟ้อง ข้อที่ว่าฟ้องของโจทก์มีชื่อผู้อื่นเป็นผู้เรียงคำฟ้องไม่ใช่ตัวความหรือทนายความผู้มีอำนาจทำหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ทนายความจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ไม่เป็นฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนอ้าง ฎีกาที่ ๗๖๕/๒๔๙๙ แต่มีความเห็นแย้ง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.๒๔๗๗ ม.๖ บัญญัติว่า “ผู้ใดไม่ได้รับอนุญาตเป็นทนายความหรือมิใช่เป็นตัวความจะว่าความในศาลไม่ได้ กับทั้งไม่มีอำนาจแต่งฟ้อง คำให้การ ฟ้องอุทธรณ์ แก้อุทธรณ์ ฟ้องฎีกา คำร้องหรือคำแถลงอันเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาล” ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนมิให้ผู้ที่ไม่มีความรู้รับเข้าแต่งคำคู่ความในทางอรรถคดีให้ความยุติธรรมต้องเสียไป เพราะความไม่เข้าใจในทางพิจารณาของศาล ฉนั้นเมื่อฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ได้แต่งขึ้นโดยผู้ไม่มีอำนาจที่จะแต่งได้ตาม ก.ม.กล่าวคือมีนาย ป.งามสมพงษ์ เป็นผู้เรียงฟ้องของโจทก์นั้นไม่เป็นฟ้องที่ศาลจะพึงรับไว้ดำเนินคดีได้ การที่โจทก์เซ็นชื่อมาในช่องเป็นตัวโจทก์หรือไม่ก็ไม่อาจทำให้ผู้ที่ไม่มีอำนาจแต่งฟ้องกลับมีอำนาจขึ้นมาตาม ก.ม.มิฉนั้นแล้วบทบัญญัติของ ก.ม.ที่บัญญัติไว้ว่าผู้ไม่ได้รับอนุญาตเป็นทนายความไม่มีอำนาจแต่งฟ้อง ๆ ก็ปราศจากความหมาย ป.วิ.แพ่ง ม.๑๘ วรรค ๓ ได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ได้นำมายื่นดังกล่าวข้างต้นมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ ก.ม.บังคับไว้ ฯลฯ ก็ให้ศาลมีคำสั่งไม่รับหรือคืนไป ๆ ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อปรากฎว่าผู้เรียงคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตเป็นทนายความแล้วฟ้องโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้อง ศาลจะรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินคดีต่อไปไม่ได้ พิพากษากลับไม่รับคำคู่ความที่อ้างว่าเป็นฟ้องของโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องให้ถูกต้อง