แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3) เป็นกรณีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว แต่คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3)และปัญหาว่าวคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยต้องห้าม ตามกฎหมายหรือไม่นี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยเพราะคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสองจำเลยจึงยื่นคำร้องใหม่โดยทำให้ถูกต้องได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับให้จำเลยได้ จำเลยและทนายจำเลยได้ไปศาลก่อนศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีนี้ แต่เหตุที่ไม่เข้าไปในห้องพิจารณาคดีเพราะจำเลยไม่ทราบว่าได้มีการประกาศเรียกคู่ความแล้วส่วนทนายจำเลยก็ต้องว่าความในคดีอื่นก่อน จำเลยจึงไม่จงใจขาดนัดพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2521 โจทก์ซื้อไม้ชิงชันซึ่งเป็นไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมายของจำเลยทั้งสอง จำนวน 10 ยกในราคา 19,000 บาท แล้วฝากไม้ดังกล่าวไว้แก่จำเลยทั้งสองให้ดูแลรักษา โดยคิดค่าเก็บรักษา 500 บาท ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม2529 โจทก์จะไปขนไม้ดังกล่าว ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองขายไม้ให้ผู้อื่นไปแล้ว โจทก์ขอเงินตามราคาไม้ในปัจจุบัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ปัจจุบันไม้ชิงชันราคายกละ 8,300 บาท คิดเป็นเงิน 83,000 บาทขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันมอบไม้ชิงชันขนาดหน้า 4 ยาว 8 ศอกจำนวน 10 ยก แก่โจทก์ หากส่งมอบให้ไม่ได้ให้ชำระเงิน 83,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยขายไม้และรับดูแลรักษาไม้ให้โจทก์ จำเลยที่ 1 เคยพาโจทก์ไปซื้อไม้ชิงชันแปรรูปจากผู้แปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อผู้ขายไม้ทำการแปรรูปไม้ได้บางส่วนแล้วได้ฝากไว้ที่จำเลยที่ 1 เพื่อให้โจทก์ไปรับไม้ แต่โจทก์จะขอรับไม้ส่วนที่เหลืออยู่ด้วย เพื่อจะขนย้ายพร้อมกัน ต่อมาจำเลยที่ 1ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีข้อหามีไม้ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลพิพากษาลงโทษและริบไม้นั้นส่วนไม้ที่เหลืออยู่ ผู้ขายไม่ส่งมอบให้อีกเนื่องจากทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกจับกุมดำเนินคดี จึงไม่หลบหนีไป มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ราคาไม้ปัจจุบันไม่เกินยกละ 100 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง แต่ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ซึ่งปัญหานี้แม้โจทก์จะเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียกร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ โจทก์ฎีกาประการแรกว่า จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3) เห็นว่า การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3)เป็นกรณีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว แต่คดีนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3) ส่วนที่โจทก์ฎีกาอีกประการหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองเคยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 ครั้งหนึ่งแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อีกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2530 จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้พิจารณานั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2530เพราะคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องใหม่โดยทำให้ถูกต้องได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับให้จำเลยทั้งสองชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้พิจารณา
ปัญหาต่อไปมีว่า ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 จำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ปัญหานี้ได้ความตามทางไต่สวนของศาลชั้นต้นว่าเดิมจำเลยทั้งสองมีนายสุธรรม ปาเฉย เป็นทนายความ ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 2 กรกฎาคม 2530 เวลา 9.00 นาฬิกา แต่ตามวันและเวลาดังกล่าวนายสุธรรมมีกิจธุระซึ่งนายสุธรรมเพิ่งทราบในเวลากลางคืนของวันที่ 1 กรกฎาคม 2530 นายสุธรรมจึงแจ้งให้นายกิตติคุณะเกษม ซึ่งเป็นทนายความสำนักงานเดียวกันทราบเมื่อวันที่ 2กรกฎาคม 2530 เวลา 7.30 นาฬิกา และขอให้นายกิตติ ว่าความคดีนี้แทนนายกิตติตกลง เมื่อจำเลยทั้งสองไปหานายสุธรรมที่สำนักงานนายกิตติจึงแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ จำเลยทั้งสองแต่งตั้งนายกิตติเป็นทนายความแต่ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 เวลา 9.00 นาฬิกานายกิตติต้องว่าความในคดีอื่นของศาลชั้นต้นซึ่งนัดไว้ก่อนแล้วนายกิตติจึงให้จำเลยทั้งสองไปรอที่บริเวณประชาสัมพันธ์ของศาลชั้นต้น ส่วนนายกิตติไปว่าความคดีอื่นก่อนเสร็จแล้วจะตามไป จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าประชาสัมพันธ์ของศาลชั้นต้นไปประกาศเรียกคู่ความคดีนี้แล้ว จึงไม่ได้แถลงให้ศาลทราบเมื่อนายกิตติว่าความคดีอื่นเสร็จแล้วได้ไปที่ห้องพิจารณาคดีนี้แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีเสร็จแล้ว นอกจากนี้ยังปรากฏตามใบแต่งทนายความที่จำเลยทั้งสองแต่งตั้งนายกิตติเป็นทนายความว่าเจ้าพนักงานศาลได้ลงรับไว้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2530เวลา 9.10 นาฬิกา และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 ว่า ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีนี้เวลา9.20 นาฬิกา เพราะต้องพิจารณาคดีอื่นก่อน เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทั้งสองและทนายจำเลยทั้งสองได้ไปศาลก่อนศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีนี้ แต่เหตุที่ไม่เข้าไปในห้องพิจารณาคดี เพราะจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าได้มีการประกาศเรียกคู่ความแล้ว ส่วนทนายจำเลยทั้งสองก็ต้องว่าความในคดีอื่นก่อนจำเลยทั้งสองจึงไม่จงใจขาดนัดพิจารณา
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า โจทก์ซื้อไม้จากจำเลยทั้งสองและฝากไม้ไว้ตามฟ้องหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อและฝากไม้ชิงชันไว้แก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแต่อย่างใดจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน