แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยเพิ่งมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานกิจการญวณอพยพจังหวัด อุบลราชธานี ภายหลังจากได้มีการจดแจ้งชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพแล้วก็ตาม แต่ฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีสาระสำคัญขอให้จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพจังหวัดอุบลราชธานีคนปัจจุบันถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ เพราะลงชื่อไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะมิใช่ผู้จดแจ้งชื่อโจทก์ไว้ในทะเบียน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่เคยไปติดต่อจำเลยให้ถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพก่อนฟ้องโดยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การนั้น แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้
พ. คนสัญชาติไทยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ที่ 1คนสัญชาติญวนซึ่งเกิดในประเทศ ไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ให้กำเนิดโจทก์ที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2510 ต่อมา พ.ศ. 2512 พ. และโจทก์ที่ 1 จึงได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย โจทก์ที่ 2 ไม่ใช่บุคคลที่ถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1เพราะโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา ไม่ใช่บุคคลตามข้อ 1(1) (2) และ(3) ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายง้วมกับนางวิน แซ่เลียด คนต่างด้าว สัญชาติญวน โจทก์ที่ ๑ เกิดในราชอาณาจักรไทย จึงเป็นคนสัญชาติไทย โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไพบูลย์ เฉลิมพร คนสัญชาติไทยกับโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ จึงเป็นคนสัญชาติไทย เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๑๙ จำเลยอ้างว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นคนต่างด้าวแล้วจำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพเลขที่ ๑๑๑ หมู่ที่ ๖ ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อโจทก์ที่ ๕ เกิดมาจำเลยก็อ้างว่าโจทก์ที่ ๕ เป็นคนต่างด้าวและเพิ่มชื่อโจทก์ที่ ๕ ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพดังกล่าว การกระทำของจำเลยนั้นถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิเรื่องสัญชาติของโจทก์ทั้งห้า ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นคนสัญชาติไทย ให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ทั้งห้าออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งห้าไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ ๒ถึงที่ ๕ เป็นบุตรโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติญวนที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ จึงต้องถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗ ดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นบุคคลสัญชาติไทยให้จำเลยถอนชื่อโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพตามฟ้อง ให้ยกฟ้องสำหรับโจทก์ที่ ๑
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นคนสัญชาติญวนเกิดในราชอาณาจักรไทยเป็นภรรยาของนายไพบูลย์คนสัญชาติไทย มีบุตรด้วยกันเกิดในประเทศไทย ๔ คน คือโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์นายไพบูลย์เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ และคดีระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับจำเลยยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่าแม้จะได้ความว่าจำเลยเพิ่งมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่๑ ธันวาคม ๒๕๒๖ ภายหลังจากที่ได้มีการจดแจ้งชื่อโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ลงในทะเบียนคนญวนอพยพแล้วก็ตาม แต่ตามฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ มีสาระสำคัญขอให้จำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพ จังหวัดอุบลราชธานีคนปัจจุบัน ถอนชื่อโจทก์ที่ ๒ถึงที่ ๕ ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพ เพราะการลงชื่อโจทก์ที่ ๒ถึงที่ ๕ ไว้ในทะเบียนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นแม้จำเลยจะมิใช่ผู้ที่จดแจ้งชื่อโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ไว้ในทะเบียนนั้นโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ไปติดต่อกับจำเลยให้ถอนชื่อโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพก่อนฟ้องคดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้นี้ไว้ในคำให้การ แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้ ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๕) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ว่า โจทก์ที่ ๒ จะต้องถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๑หรือไม่ ปัญหานี้แม้นายไพบูลย์คนสัญชาติไทยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ที่ ๑ คนสัญชาติญวนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย และให้กำเนิดโจทก์ที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ นายไพบูลย์และโจทก์ที่ ๑ จึงได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายก็ตาม เห็นว่า โจทก์ที่ ๒ ไม่ใช่บุคคลที่จะถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๑ เพราะโจทก์ที่ ๑ ไม่ใช่บุคคลตามข้อ ๑(๑) (๒)และ (๓) ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.