คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986-987/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ไม่ใช่ข้อกล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 137,267
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 180 แต่ให้ลงโทษกระทงหนักสำนวนละ 2 ปี มิได้กำหนดโทษตามมาตรา 180 ไว้เท่าใด โดยเฉพาะกระทงความผิดตามมาตรา 180 นี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มิได้แก้บทและลงโทษจำคุกเพียง 1 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจำเลยจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงเฉพาะกระทงความผิดตามมาตรา 180 นี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมสัญญากู้และจำเลยทั้งสองได้ใช้กลฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสัญญากู้ด้วยการสมคบกัน เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า ได้ฟ้องกล่าวหาถึงจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180 ด้วย และเมื่อศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยได้ร่วมกระทำในการนำสัญญากู้ซึ่งเป็นเอกสารเท็จมาแสดงเป็นพยานหลักฐานในคดี ฉะนั้น ใครจะเป็นผู้นำสัญญากู้มายื่นจึงไม่ใช่ข้อสำคัญที่จำเลยจะอ้างขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดตามมาตรา 180 ได้.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนที่ ๑ โจทก์ฟ้องว่านายฉอยจำเลยที่ ๑ กับนายจุ่นย้ง จำเลยที่ ๒ สมคบกันทำปลอมเอกสารสัญญากู้อันเป็นเอกสารสิทธิขึ้นหนึ่งฉบับมีใจความว่า นายฉอยจำเลยได้กู้เงินไปจากนายจุ่นย้งจำเลย ๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยเจตนาทุจริตเพื่อให้เป็นเอกสารที่แท้จริง อาจเกิดการเสียหายแก่โจทก์และผู้อื่น จำเลยได้สมคบกันนำเอกสารสัญญากู้ฉบับนี้มายื่นฟ้องและใช้ ณ ศาลจังหวัดกาญจนบุรีในสำนวนคดีแพ่งคำที่ ๖๕/๒๕๐๓ และจำเลยทั้งสองได้ใช้กลฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเพื่อจะได้ไปขอเฉลี่ยหนี้ในคดีแพ่งแดงที่ ๑๕๒๙/๐๓ ของศาลแพ่ง ระหว่างนางก้อนทอง สว่างวงศ์ โจทก์ นายฉอย แซ่ล้อ กับพวก จำเลย ศาลจังหวัดกาญจนบุรีพิพากษาตามยอม และจำเลยที่ ๒ ได้นำสำเนาคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวไปร้องขอเฉลี่ยหนี้ในคดีศาลแพ่งแดงที่ ๑๕๒๙/๒๕๐๓ ของศาลแพ่งแล้วแต่เนื่องจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยที่ ๒ จึงสมคบกันกับจำเลยที่ ๑ นำเอกสารสิทธิสัญญากู้มายื่นคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เป็นเงิน ๑๙๒,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้สาบานเบิกความต่อศาลนี้(ศาลจังหวัดกาญจนบุรี)ว่า “ฯลฯ พ.ศ.๒๔๙๙ เงินที่กู้นายจุ่นย้งมาหนึ่งแสนสองหมื่นบาทขาดทุนคงเหลือเงินสามสี่หมื่นบาท ฯลฯ” และจำเลยที่ ๒ ได้ให้การต่อนายวิมล ราชเทวินทร์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ศาลจังหวัดกาญจนบุรีให้จดข้อความอันเป็นเท็จว่า “ฯลฯ เงินที่ติดค้างข้าฯ นั้นคือเงินที่ยืมจากข้าฯ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ยืมจากข้าฯ ไปเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ฯลฯ นายฉอยได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา ฯลฯ ข้าฯ ขอยืนยันว่าหนี้สินของข้า ฯ ที่ยื่นไว้เป็นความจริง ฯลฯ” และจำเลยที่ ๒ ได้แสดงสัญญากู้เงินอันเป็นเท็จต่อนายวิมล ราชเทวินทร์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ผู้สอบสวนพิจารณาคดีล้มละลายด้วย
ความจริงจำเลยที่ ๑ ไม่เคยกู้เงินจากจำเลยที่ ๒ ตามวันและจำนวนเงินที่ปรากฏในสัญญากู้เงินฉบับนั้นเลย การกระทำของจำเลยทั้งสองสมยอมกันเพื่อโกงเจ้าหนี้โดยเจตนาทุจริต ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗,๑๘๐,๒๖๔,๒๖๕,๒๖๗,๒๖๘,๘๓,๙๐ และ ๙๑
สำนวนที่ ๒ โจทก์ฟ้องนายฉอยจำเลยที่ ๑ กับนายเล็กจำเลยที่ ๒ โดยกล่าวฟ้องทำนองเดียวกับฟ้องในสำนวนที่ ๑ แตกต่างกันเฉพาะจำเลยที่ ๒ ร่วมการกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ วันเวลาที่กระทำผิดและข้อความที่จำเลยที่ ๑ เบิกความต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี
นายฉอย จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน ส่วนายจุ่นย้งกับนายเล็กจำเลยที่ ๒ ทั้ง ๒ สำนวน โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่านายฉอยจำเลยได้ทำผิดจริงดังฟ้อง พิพากษาว่านายฉอยจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗,๑๘๐,๒๖๔,๒๖๕,๒๖๗,๒๖๘ ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา ๒๖๕ แต่กระทงเดียว จำคุกนายฉอยจำเลยสำนวนละ ๒ ปี รวม ๔ ปี
นายฉอยจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า นายฉอยจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๐ วรรคแรกทั้งสองสำนวน ต่างกรรมกันและโทษเท่ากัน อาศัยประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ ให้จำคุกนายฉอยจำเลย หนึ่งปี ส่วนความผิดมาตรา ๑๓๗,๒๖๔,๒๖๕ และ ๒๖๘ ให้ยก
โจทก์และนายฉอยจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ฎีกาโจทก์ที่อ้างว่าศาลจังหวัดกาญจนบุรี เป็นเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๑๓๗,๒๖๗ ด้วยนั้น เห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่านายฉอยจำเลยเบิกความเท็จต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่ข้อกล่าวหาว่านายฉอยจำเลยแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๒๖๗ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าศาลจังหวัดกาญจนบุรีเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มิได้กล่าวหานายฉอย นายฉอยจำเลยไม่มีความผิดตามสองมาตรานี้ชอบแล้ว
ตามฎีกาจำเลยที่ว่าจำเลยแสดงพยานหลักฐานสำคัญอันเป็นเท็จในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๐ นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษาว่านายฉอยมีความผิดตามมาตรา ๑๘๐ แต่ให้ลงโทษกระทงหนัก สำนวนละ ๒ ปี โดยมิให้กำหนดโทษตามมาตรา ๑๘๐ ไว้เท่าใดก็ตามโดยเฉพาะกระทงความผิดตามมาตรา ๑๘๐ นี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยมิได้แก้บทให้ลงโทษจำคุกนายฉอยจำเลยเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เป็ฯการแก้ไขเล็กน้อย นายฉอยจำเลยจะฎีกาคัดค้านปัญหาข้อเท็จจริงเฉพาะในกระทงความผิดตามมาตรา ๑๘๐ นี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๘ ตามที่นายฉอยจำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้องมิได้กล่าวหาเอาผิดแก่นายฉอยจำเลยตามมาตรา ๑๘๐ นี้ ได้พิเคราะห์ฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมสัญญากู้ดังกล่าว และจำเลยทั้งสองได้ใช้กลฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสัญญากู้ด้วยการสมคบกันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าได้ฟ้องกล่าวหาถึงนายฉอยจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๐ นี้ด้วย ตามที่นายฉอยจำเลยโต้แย้งว่าไม่ได้เป็นผู้นำสัญญากู้แสดงต่อศาล จึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๘๐ นั้น ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่านายฉอยจำเลยได้ร่วมกระทำในการนำสัญญากู้ซึ่งเป็นเอกสารเท็จมาแสดงเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดี ฉะนั้นใครจะเป็นผู้นำสัญญากู้มายื่นจึงไม่ใช่ข้อสำคัญที่นายฉอยจำเลยจะอ้างขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดตามมาตรานี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษนายฉอยจำเลยตามมาตรานี้จึงไม่นอกฟ้องนอกคำขอ
พิพากษายืน.

Share