คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การหลอกลวงด้วยแสดงข้อความเท็จและปกปิดความจริงว่าตัวเองเป็นภริยาและทายาทของผู้ตาย เพื่อให้มีสิทธิรับบำนาญพิเศษของผู้ตายนั้น ไม่เข้าลักษณะฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น เพราะไม่ได้แสดงตนว่าเป็นคนหนึ่งคนใด คงมีผิดฐานฉ้อโกงธรรมดา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนี้สมคบกับนางแจ้ง พงษ์เกษม ซึ่งถูกฟ้องศาลลงโทษไปแล้ว หลอกลวงนายอำเภอพระนครศรีอยุธยาว่า นางแจ้ง พงษ์เกษม เป็นภริยาของสิโทเพิ่ม พงษ์เกษม ผู้ถึงแก่ความตายในหน้าที่ราชการ จึงเป็นทายาทมีสิทธิได้รับเงินบำนาญพิเศษของสิบโทเพิ่มนายอำเภอพระนครศรีอยุธยาสอบสวนแล้วหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงออกหนังสือรับรองแจ้งไปยังกรมการเงิน กระทรวงกลาโหม ๆ จึงจ่ายเงินบำนาญพิเศษให้นางแจ้งรับไป ๓ คราว จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑,๓๔๒,๘๓ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่รับไปด้ย
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่านางแจ้งไม่ใช่ภริยาและไม่ได้เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับบำนาญพิเศษของสิบโทเพิ่ม จำเลยนี้เป็นผู้ติดต่อจัดการให้นางแจ้งหลอกลวงนายอำเภอพระนครศรีอยุธยาด้วยการแสดงข้อความเท็จ จึงมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๒ จำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา เฉพาะข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๒ หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๓๔๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นบทบัญญัติที่กำหนดโทษหนักขึ้น ถ้าการกระทำผิดฐานฉ้อโกงต้องด้วยลักษณะฉกรรจ์ดังที่บัญญัติไว้ คือ (๑) แสดงตนเป็นคนอื่น ฯ่ลฯ “คดีนี้ปรากฎว่า นางแจ้งมิได้แสดงตนว่าเป็นคนหนึ่งคนใด แต่นางแจ้งแสดงว่าตัวเขาเองเป็นภริยาและทายาทของสิบโทเพิ่ม ซึ่งเป็นแต่แสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงเท่านั้น หาเข้าลักษณะแสดงตนเป็นคนอื่นไม่ จำเลยจึงไม่ผิดตามมาตรา ๓๔๒ ซึ่งมีโทษหนักขึ้น แต่คงมีความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ซึ่งเป็นบทมาตราที่บัญญัติความผิดฐานฉ้อโกงธรรมดา ต้องปรับบทด้วยมาตรา ๓๔๑ ส่วนโทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา คงอยู่ในอัตราของมาตรา ๓๔๑ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าสมควรแล้ว
พิพากษาแก้ว่า จำเลยผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ นอกนั้นคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share