คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธ. ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหากับโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาให้ตามกำหนด ถ้าผิดนัดยินยอมชดใช้เงิน 120,000 บาท การที่ ธ. ไม่ส่งตัวผู้ต้องหาในวันที่ 17 เมษายน 2542 ซึ่งเป็นวันที่กำหนด จึงเป็นการผิดนัดตามสัญญาประกันอันจะต้องเสียค่าปรับนับแต่วันนั้น แต่จำเลยจะผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยค่าปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ก็ต่อเมื่อโจทก์กำหนดค่าปรับและแจ้งให้ ธ. ทราบแล้วไม่ชำระตามมาตรา 204 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้ ธ. นำเงินมาชำระในวันที่ 25 มิถุนายน 2542 เมื่อ ธ. ไม่ชำระจึงเป็นการผิดนัดต้องรับผิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับ 120,000 บาท นับแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2542

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางเขน จำเลยที่ 1เป็นภริยาพันโทธวัชชัย จงสมชัย จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรพันโทธวัชชัย เมื่อวันที่ 4กุมภาพันธ์ 2542 พันโทธวัชชัยทำสัญญาประกันตัวนางสาวสายพิณ อักษรวงศ์ ผู้ต้องหาต่อโจทก์โดยตกลงว่าหากผิดสัญญาไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาได้ตามกำหนดนัด ยินยอมชดใช้เงินจำนวน 120,000 บาท เป็นค่าปรับฐานผิดสัญญาและเพื่อเป็นหลักประกันพันโทธวัชชัยใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนเองเป็นหลักฐานประกันตัวผู้ต้องหา ต่อมาเมื่อถึงกำหนดนัดส่งตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาต้องเสียค่าปรับตามสัญญาเป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2542 ซึ่งเป็นวันผิดนัดไม่ชำระค่าปรับให้แก่โจทก์จนถึงวันชำระเสร็จดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 ปี 228 วัน เป็นเงิน 23,620.20 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 จะฟ้องชำระให้แก่โจทก์ 143,620.20 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 1มิถุนายน 2543 พันโทธวัชชัยถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองเป็นทายาทโดยธรรมและผู้รับมรดกของพันโทธวัชชัย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 143,620.20บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ความว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2542พันโทธวัชชัย จงสมชัย ทำสัญญาประกันตัวนางสาวสายพิณ อักษรวงศ์ ผู้ต้องหาคดีอาญาต่อโจทก์ โดยตกลงว่าหากผิดสัญญายอมใช้เงิน 120,000 บาท และใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนเองเป็นหลักฐานในการประกันตัวผู้ต้องหาตามเอกสารหมาย จ.7ถึง จ.9 ต่อมาพันโทธวัชชัยผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ในวันที่ 17 เมษายน2542 ตามนัดโจทก์มีหนังสือทวงถามให้พันโทธวัชชัยนำเงินจำนวน 120,000 บาทมาชำระในวันที่ 25 มิถุนายน 2542 ตามเอกสารหมาย จ.11 แต่พันโทธวัชชัยเพิกเฉยครั้นวันที่ 1 มิถุนายน 2543 พันโทธวัชชัยถึงแก่ความตายด้วยโรคหัวใจวาย ตามมรณบัตรเอกสารหมาย จ.12 จำเลยที่ 1 เป็นภริยาและเป็นผู้จัดการมรดกของพันโทธวัชชัย จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรพันโทธวัชชัย ตามหนังสือและสำเนาคำสั่งศาลจังหวัดสระบุรีสำเนาทะเบียนสมรส และสำเนาทะเบียนราษฎร เอกสารหมาย จ.19 ถึง จ.20 และ จ.2ถึง จ.5 จำเลยทั้งสามเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้รับมรดกของพันโทธวัชชัย

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับ 120,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2542 อันเป็นวันที่พันโทธวัชชัยผิดนัดไม่ส่งตัวผู้ต้องหาแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.9 พันโทธวัชชัยตกลงกับโจทก์ว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนด ถ้าผิดนัดยินยอมชดใช้เงิน 120,000 บาท การที่พันโทธวัชชัยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาในวันที่ 17 เมษายน 2542 พันตำรวจโทธวัชชัยจึงเป็นการผิดนัดตามสัญญาประกันอันจะต้องเสียค่าปรับนับแต่วันนั้น แต่จำเลยจะผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยค่าปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ก็ต่อเมื่อโจทก์กำหนดค่าปรับและแจ้งให้พันตำรวจโทธวัชชัยทราบแล้วไม่ชำระตามมาตรา 204 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้พันโทธวัชชัยนำเงิน 120,000 บาท มาชำระในวันที่ 25 มิถุนายน 2542 ตามเอกสารหมาย จ.11 แต่พันโทธวัชชัยเพิกเฉย จึงถือได้ว่าโจทก์ได้กำหนดค่าปรับอันเป็นหนี้เงินและแจ้งให้พันตำรวจโทธวัชชัยทราบแล้วไม่ชำระ เมื่อพันโทธวัชชัยไม่ชำระเงินค่าปรับซึ่งเป็นหนี้เงินแล้ว จึงเป็นการผิดนัดก็ต้องรับผิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับ 120,000 บาท นับแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2542 อันเป็นวันที่พันโทธวัชชัยผิดนัดไม่นำเงินค่าปรับมาชำระแก่โจทก์จนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน21,895.89 บาท และดอกเบี้ยที่โจทก์ขอจากค่าปรับตามสัญญาประกันในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีของต้นเงิน 120,000 บาท นั้นหาใช่เป็นเบี้ยปรับซ้ำซ้อนกับค่าปรับดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยก่อนฟ้องจำนวนเงิน21,895.89 บาท แก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share