แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้อื่นเข้าหุ้นกันซื้อสลากกินแบ่ง จำเลยเป็นผู้ถือสลาก เมื่อสลากถูกจำเลยได้เอาสลากของคนอื่นมาแสดงว่าเป็นสลากของหุ้นส่วนและเขียนลงในใบสลากว่าคณะหุ้นส่วนดังนี้ ไม่เป็นผิดฐานปลอมหนังสือ ประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม. 170, 219 คดีศาลขั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลทางอาญาให้ยกเสีย โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ มีเจตนาทุจจริตหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
คดีได้ความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าโจทก์ทั้ง ๓ กับจำเลยต่างเข้าหุ้นส่วนกันคนละ ๕๐ สตางค์ซื้อสลากกินแบ่ง ๒ ฉะบับมอบให้จำเลยเก็บรักษาไว้ ครั้นสลากออกปรากฏว่ามีตั๋วสลากที่มีชื่อจำเลยถูกรางวัลด้วยรางวัลหนึ่ง โจทก์จึงมาหาจำเลย ๆ ชี้แจงว่าสลากที่ถูกเป็นของตนซื้อไว้ส่วนตัว ส่วนที่ซื้อสำหรับหุ้นส่วนไม่ถูกแล้วจำเลยก็นำตั๋วสลาก ๒ ฉะบับที่ว่าเป็นของหุ้นส่วนมามอบให้โจทก์ที่ด้านหลังของตั๋วสลาก ๒ ใบนี้มีตัวอักษรเขียนไว้ด้วยหมึกว่า ” คณะสี่หุ้น ” โจทก์ได้นำตั๋วสลาก ๒ ใบนี้ไปสอบกับต้นขั้วปรากฏว่าในต้นขั้วของตั๋ว ๒ ใบนี้ ใบหนึ่งเขียนว่า ” ปกซ้าย ปกซุน แซ่หลีสุราษฎร์ ” อีกใยหนึ่งเขียนว่า ” นายไช้ผ้างบ้านดอนสุราษฎร์ธานี ”
โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าฉ้อโกงและปลอมหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลทางอาญา ให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อหาฐานฉ้อโกงไม่มีมูลทางอาญา ส่วนข้อหาฐานปลอมหนังสือนั้นเห็นว่ายังไม่เข้า ม. ๒๒๒ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาตัดสินว่า สำหรับความผิดฐานฉ้อโกง โจทก์อ้างมาว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏพอฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจจริตแล้วซึ่งข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงฎีกาไม่ได้ส่วนข้อหาฐานปลอมหนังสือนั้น เห็นว่าแม้จะฟังว่าจำเลยจดอะไมลงไปก็เป็นการจดที่จำเลยทำเองมิได้แสดงว่าเป็นของผู้อื่นทำไว้ และก็มิได้แลอมใบสลากให้ผิดไปจากของแท้ จึงยังไม่มีผิด พิพากษายืนตามศาลล่างทั้ง ๒