คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ขอเรียกค่าทดแทนจากจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้” จากพฤติการณ์ที่สามีโจทก์ไปพบจำเลยที่บ้านเช่าของจำเลยในช่วงเวลากลางคืนบ่อยครั้ง โดยขับรถมาเองหรือมาพร้อมกับจำเลยก็ตาม บางครั้งก็นอนพักค้างคืนที่บ้านจำเลยและกลับออกมาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น อีกทั้งสามีโจทก์ยังมีกุญแจที่ใช้เปิดประตูเข้าออกบ้านจำเลยได้เอง แม้ในยามกลางดึกซึ่งเป็นเวลาที่จำเลยเข้านอนแล้วก็สามารถเข้าบ้านจำเลยโดยไม่ต้องรอให้จำเลยเปิดประตูบ้านให้ อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับสามีโจทก์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่าที่จะเป็นเพียงนายจ้างหรือลูกจ้างกันตามปกติธรรมดา การที่จำเลยเป็นหญิงที่แต่งงานมีสามีแล้ว ยินยอมให้สามีโจทก์ซึ่งเป็นชายอื่นเข้าออกบ้านจำเลยในเวลากลางคืนบ่อยครั้ง รวมทั้งให้มานอนค้างคืนที่บ้านแล้วออกจากบ้านไปช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น โดยบางครั้งมีการแต่งกายออกไปทำงานพร้อมกัน ย่อมทำให้เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นที่พบเห็นถึงพฤติกรรมระหว่างจำเลยกับสามีโจทก์เข้าใจได้ว่า จำเลยกับสามีโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการที่จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทนความเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงทางธุรกิจ ความเดือดร้อนที่ครอบครัวต้องแตกแยก และความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจ เป็นเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์กับนายชัชชมจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 ระหว่างสมรสมีบุตรด้วยกัน 2 คน โจทก์กับนายชัชชมประกอบธุรกิจในนามบริษัทเอเชีย แปซิฟิค พาราวู้ด จำกัด มีจำเลยทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์นำสืบถึงการกระทำของจำเลยอันเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามมิให้รับฟังหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 จำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายชัชชมสามีโจทก์โดยไปพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านเช่าของจำเลย ชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 โจทก์รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนายชัชชม จึงให้นายวันชัยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ติดตามพฤติกรรมของนายชัชชม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 นายวันชัยไปที่บ้านเช่าจำเลยและถ่ายรูปรถยนต์ของนายชัชชมขณะจอดอยู่ที่บ้านเช่าของจำเลย ช่วงเวลา 2 นาฬิกา ส่วนการที่โจทก์นำสืบว่า นายวันชัยติดตามพฤติกรรมของนายชัชชมกับจำเลยโดยไปเช่าบ้านอยู่ใกล้กับบ้านเช่าของจำเลย จนนายวันชัยสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหว เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 วันที่ 27 สิงหาคม 2558 วันที่ 13 กันยายน 2558 วันที่ 7 ตุลาคม 2558 และวันที่ 8 ตุลาคม 2558 ในขณะที่นายชัชชมมาที่บ้านของจำเลยและพักค้างคืนด้วยนั้น เห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบถึงพฤติกรรมที่สามีโจทก์ไปที่บ้านเช่าของจำเลยแล้วพักค้างคืนที่บ้าน ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ตามฟ้อง โจทก์นำสืบโดยมีภาพถ่ายรถยนต์ของนายชัชชมขณะจอดอยู่หน้าบ้านเช่าของจำเลย เวลา 2 นาฬิกา ส่วนภาพเคลื่อนไหวที่นายวันชัยบันทึกไว้ขณะนายชัชชมมาที่บ้านของจำเลยแล้วพักค้างคืนนั้น เป็นการนำสืบถึงการติดตามพฤติกรรมของนายชัชชมและจำเลยอย่างต่อเนื่องทำให้ทราบถึงพฤติกรรมระหว่างจำเลยและนายชัชชม เช่นนี้ เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ว่า จำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโจทก์ให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น การนำสืบถึงพฤติกรรมของจำเลยและสามีโจทก์ที่มีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวต่อเนื่องดังกล่าว หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นที่จะต้องห้ามมิให้รับฟังดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อมาว่า จำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโจทก์หรือไม่ เห็นว่า กรณีตามคำฟ้องโจทก์ขอเรียกค่าทดแทนจากจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้” จากพฤติการณ์ที่สามีโจทก์ไปพบจำเลยที่บ้านเช่าของจำเลยในช่วงเวลากลางคืนบ่อยครั้ง โดยขับรถมาเองหรือมาพร้อมกับจำเลยก็ตาม บางครั้งก็นอนพักค้างคืนที่บ้านจำเลยและกลับออกมาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น อีกทั้งสามีโจทก์ยังมีกุญแจที่ใช้เปิดประตูเข้าออกบ้านจำเลยได้เอง แม้ในยามกลางดึกซึ่งเป็นเวลาที่จำเลยเข้านอนแล้วก็สามารถเข้าบ้านจำเลยโดยไม่ต้องรอให้จำเลยเปิดประตูบ้านให้ อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับสามีโจทก์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่าที่จะเป็นเพียงนายจ้างหรือลูกจ้างกันตามปกติธรรมดา แม้จำเลยจะนำสืบอ้างว่าที่สามีโจทก์ต้องมาพบจำเลยบ่อยครั้งในยามวิกาลเพื่อปรึกษาเรื่องงานเท่านั้น ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุน จึงมีน้ำหนักน้อย น่าเชื่อว่า จำเลยมีความสัมพันธ์ในทำนองฉันชู้สาวกับสามีโจทก์จริง การที่จำเลยเป็นหญิงที่แต่งงานมีสามีแล้ว ยินยอมให้สามีโจทก์ซึ่งเป็นชายอื่นเข้าออกบ้านจำเลยในเวลากลางคืนบ่อยครั้ง รวมทั้งให้มานอนค้างคืนที่บ้านแล้วออกจากบ้านไปช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น โดยบางครั้งมีการแต่งกายออกไปทำงานพร้อมกัน ย่อมทำให้เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นที่พบเห็นถึงพฤติกรรมระหว่างจำเลยกับสามีโจทก์เข้าใจได้ว่า จำเลยกับสามีโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการที่จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง แต่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 1,500,000 บาท นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดี สถานะของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ที่ต่างมีปัญหาที่ไม่ลงรอยกันทั้งทางครอบครัวและทางธุรกิจจนแยกกันอยู่มานานหลายปีแล้ว จึงเห็นสมควร กำหนดค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share