คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อัยการศาลทหารเคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมาครั้งหนึ่งแล้ว ศาลทหารเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จะฟ้องต่อศาลทหารมิได้ จึงพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่ฟ้องนั้นแต่ประการใด ดังนี้ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนด้วยข้อหาเดียวกันนั้นอีกได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 340,43 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย อันเป็นความผิดหลายบท คือมาตรา 340 วรรค 4 กับมาตรา 289 (6) (7), 80 แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมา และเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้กับจำเลยในคดีอาญาแดงที่ ๑๕๒๖/๒๕๑๔ และที่ ๒๒๔/๒๕๑๕ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี กับพวกที่ยังหลบหนีอีก ๒ คนใช้ปืนเป็นอาวุธร่วมกันปล้นทรัพย์ไก่ ๑๑ ตัว ราคา ๑๑๐ บาทของนายหลีโค้ แซ่ลี้ ในการปล้นทรัพย์นี้จำเลยกับพวกได้ใช้ปืนยิงนายหลีโค้บาดเจ็บ ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่านายหลีโค้เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาเอาทรัพย์ไป และให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐,๒๘๙,๘๐,๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒ ข้อ ๙ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไก่ ๑๑๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธและเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยเคยถูกฟ้องในข้อหาเดียวกันนี้ต่อศาลทหารกรุงเทพ (ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) และศาลได้พิพากษายกฟ้องคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ และ ๕๓ จำคุกจำเลย ๑๕ ปี จำเลยมิได้กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ไม่ได้
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยได้ขอถอนอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์อนุญาตแล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐,๘๓ อีกบทหนึ่ง ให้จำเลยร่วมกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๕๒๖/๒๕๑๔ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๑๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเคยถูกอัยการศาลทหารกรุงเทพ (พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี) ฟ้องต่อศาลทหารดังกล่าวในข้อหาเดียวกันนี้มาครั้งหนึ่งแล้วตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๔๐๘/๒๕๑๖ แต่คดีดังกล่าวศาลทหารฯ ยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่โจทก์ฟ้องแต่ประการใด ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน โจทก์จึงฟ้องต่อศาลทหารมิได้เท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดนั้นต่อศาลพลเรือนอีก จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกอีก ๔ คน ปล้นทรัพย์ไก่ ๑๑ ตัวของนายหลีโค้ไปจริง โดยในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้นายเวะคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลยด้วยผู้หนึ่งได้ใช้ปืนยิงนายหลีโค้เจ้าทรัพย์ เพราะเจ้าทรัพย์ไปเห็นคนร้ายขณะกำลังอยู่ในเล้าไก่ จึงแสดงว่าเป็นการยิงเจ้าทรัพย์เพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์และเพื่อเอาทรัพย์ไป การร่วมกันกระทำความผิดของจำเลยกับพวกเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท คือปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ และฐานพยายามฆ่าตามมาตรา ๒๘๙ (๖) (๗) , ๘๐ แต่เฉพาะความผิดฐานพยายามฆ่านี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษมาเพียงผิดมาตรา ๒๘๘ และโจทก์เห็นว่าชอบและมิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙,๘๐ ฉะนั้นจึงลงโทษจำเลยได้เพียงตามที่ศาลชั้นต้นวางบทมา เมื่อการกระทำของจำเลยกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ เมื่อความผิดตามมาตรา ๒๘๘ เป็นความผิดเพียงฐานพยายาม จึงต้องถือว่าความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามมาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ เป็นบทที่มีโทษหนักกว่า และโดยที่หลังจากจำเลยกระทำความผิดแล้วได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ แก้ไขโทษที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ เบากว่าโทษที่กำหนดไว้เดิม จึงต้องใช้มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวลงโทษจำเลย ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓ อีกบทหนึ่ง ให้ลงโทษตามบทกฎหมายที่กล่าวนี้ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share