คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 948/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง จึงต้องนำบทบัญญัติลักษณะเช่าทรัพย์มาใช้บังคับด้วย เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับตั้งแต่วันที่รถยนต์สูญหาย ตามป.พ.พ. มาตรา 567 ผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อต่อไปส่วนข้อกำหนดตามสัญญาที่ระบุว่า ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย หรือสูญหาย ผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบนั้นพอแปลได้ว่าผู้เช่าซื้อยอมชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตามจำนวนดังกล่าวอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลมีอำนาจที่กำหนดให้ตามที่เห็นสมควร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไป 1 คัน เป็นเงินค่าเช่าซื้อ 182,000 บาท จำเลยชำระในวันทำสัญญาเช่าซื้อ 35,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยจะชำระให้เป็น 12 งวด งวดละเดือน เดือนละ 12,250 บาท จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่6 ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ 18 ธันวาคม 2529 เป็นต้นมา ได้ความว่าเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2530 จำเลยได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลท่าพระว่ารถคันที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 ได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า กรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปหรือสูญหายไปด้วยประการใด ๆ ผู้เช่าซื้อคือจำเลยจะต้องรับผิดแต่ฝ่ายเดียวโดยยอมชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาให้โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจนครบ เงินค่ารถคงค้างชำระอยู่อีก 85,750 บาท จำเลยยังไม่ได้ชำระเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินค่ารถที่ยังเหลือ 85,750 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 7 นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์จริงแต่จำเลยออกเช็คค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อไว้หลายฉบับ เมื่อรถถูกคนร้ายลักไป โจทก์ได้นำเช็คไปดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย จำเลยจึงได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ไปจนเหลือค่าเช่าซื้อที่ค้างเพียง 24,500บาท จำเลยไม่เคยได้รับการทวงถาม โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 35,750 บาท ให้โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 60,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ราคา 182,000 บาท ชำระค่าเช่าซื้อแล้วบางส่วนคงค้างเป็นเงิน 85,750 บาท รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ คดีมีปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจนครบตามสัญญาหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจนครบตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 5 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง จึงต้องนำบทบัญญัติลักษณะเช่าทรัพย์มาใช้บังคับด้วย เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับตั้งแต่วันที่รถยนต์สูญหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อต่อไป ส่วนข้อกำหนดตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 5 ที่ระบุว่า ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัยหรือสูญหาย ผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ นั้น พอแปลได้ว่าผู้เช่าซื้อยอมชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตามจำนวนดังกล่าว อันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลมีอำนาจที่กำหนดให้ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายตามราคาค่าเช่าซื้อซึ่งรวมค่าเช่าและค่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เช่าซื้อจึงสูงกว่าค่าเสียหายที่แท้จริง ศาลฎีกาพิเคราะห์เหตุผลของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ชอบแล้ว ไม่มีเหตุควรแก้ไข…”
พิพากษายืน.

Share