คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9441/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างส่งคำเบิกความพยานในคดีอาญามาเป็นพยานในคดีนี้(คดีแพ่ง) ซึ่งโจทก์ทั้งสองมิได้ตกลงกับจำเลยให้ถือเอาคำเบิกความในคดีดังกล่าวมาเป็นคำเบิกความพยานจำเลยในคดีนี้ คำเบิกความในคดีดังกล่าวจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า มีน้ำหนักให้รับฟังได้น้อย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและโจทก์ที่ 2 แก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ เลขที่ 157/136 และ 136 หมู่ที่ 6 (ปัจจุบันหมู่ที่ 9) ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด โจทก์ที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 137 หมู่ที่ 6 (ปัจจุบันหมู่ที่ 9) ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 200,500 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และค่าเสียหายเป็นเงิน 72,500 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 157/136 และ 136 โจทก์ที่ 2 มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 157 (ที่ถูก 137) ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 5,500 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และค่าเสียหายเป็นเงิน 4,500 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 15,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์สำนวนละ 10,000 บาท แทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 157/136 และ 136 โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 137 และ 135 ส่วนจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 87 และ 156/136 ที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่หมู่ที่ 9 (เดิมหมู่ที่ 6) ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด จำเลยได้แบ่งขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 87 ทางด้านทิศใต้ให้แก่นายสง่าส่วนหนึ่ง ที่ดินของนายสง่า ปัจจุบันเป็นของนางเฉลิมศรี เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2534 จำเลยให้คนงานเข้าไปขุดตักดิน ปักเสาคอนกรีต ล้อมรั้วลวดหนาม และก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาท ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้บุกรุกหรือแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองบุกรุกเข้ามารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและตัดฟันต้นไม้ในที่ดินของจำเลยนั้น จำเลยไม่มีพยานมาเบิกความสนับสนุนว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย คงอ้างส่งแต่คำเบิกความพยานใน คดีอาญาหมายเลขดำที่ 76/2535 ของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานในคดีนี้ ซึ่งโจทก์ทั้งสองมิได้ตกลงกับจำเลยให้ถือเอาคำเบิกความพยานในคดีดังกล่าว จึงเป็นมาเป็นคำเบิกความพยานจำเลยในคดีนี้ คำเบิกความในคดีดังกล่าวจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า มีน้ำหนักให้รับฟัง ได้น้อย
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาสำนวนละ 5,000 บาท แทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2

Share