คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941-942/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นเท็จต่อศาล ไม่เป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.158 เพราะการฟ้องเท็จที่จะเป็นผิดตามาตรานี้ ต้องเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในคดีอาญา
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ป.วิ.อาญาม.192 วรรค 3-4
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้

ย่อยาว

เรื่องฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
คดีแรก โจทก์ฟ้องว่า
๑. จำเลยร่วมกันทำปลอมหนังสือสัญญาซื้อขายยาง ๒ ฉบับ โดยตั้งใจจะใช้เป็นหนังสือสำคัญและเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีของศาล โดยรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้เสียความสัตย์จริงในคดี
๒. จำเลยที่ ๑ ได้ปลอมบัญชีของห้างหุ้นส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับหนังสือสัญญาปลอมดังกล่าวในข้อ ๑
๓. จำเลยสมคบกันให้จำเลยที่ ๒,๓ กับทนายความอ้างอิงและใช้หนังสือสัญญาและบัญชีปลอม เป็นพยานต่อศาลในคดีร้องขัดทรัพย์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นพยานหลักฐานเท็จ อันอาจเป็นเหตุให้เสียความสัตย์จริงในคดี
ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๒๔,๒๒๗,๑๕๗,๑๓๕,๖๕,๖๔,๗๐,๗๑ และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๓) ม.๔
จำเลยปฏิเสธ
ศาลจังหวัดภูเก็ตวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ว่า นายตันเซ่งเงี๊ยบไม่ได้เป็นหุ้นส่วนด้วย ในฐานะส่วนตัวนายตันเซ่งเงี๊ยบไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะเป็นการกระทำต่อทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วน จึงให้ยกฟ้อง
คดีที่ ๒ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามสมคบกันทำคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นเท็จ ยื่นต่อศาลขอให้สั่งถอนการยึดทรัพย์ โดยทุจริตคิดจะกีดกันเอายางที่เจ้าพนักงานศาลยึดไว้ ไปเสียจากอำนาจศาลเพื่อฉ้อโกงห้างหุ้นส่วนและผู้เป็นหุ้นส่วน และเบิกความเท็จขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๑๓๘,๑๕๕,๖๓,๖๕,๗๐,๗๑ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๓) ม.๔ และขอให้บังคับโทษต่อจากคดีแรก
จำเลยปฏิเสธ และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย
ศาลจังหวัดภูเก็ตพิจารณาฟ้องของโจทก์ในคดีที่ ๒ แล้ว เห็นว่า คำร้องขัดทรัพย์แม้จะเป็นเท็จก็ไม่เป็นฟ้องเท็จ เพราะการที่จะเป็นฟ้องเท็จตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๑๕๘ นั้นจะต้องเป็นการร้องเรียนหรือกล่าวโทษผู้อื่นว่าเขากระทำความผิดทางอาญาโจทก์ในส่วนตัวหรือในฐานะรับมอบอำนาจ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเรื่องเบิกความเท็จต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ทั้ง ๒ สำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๑,๒,๓ และ ๕ ฎีกา แล้วโจทก์ขอถอนฎีกาเฉพาะจำเลยที่ ๔ ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๑,๔๒/๒๔๙๓ ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องได้ ส่วนจำเลยฎีกาเรื่องอำนาจของทนายนั้น ได้ความว่าโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความอุทธรณ์ฎีกาได้ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เฉพาะจำเลยที่ ๑,๒,๓ และ๕ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๕ ศาลอนุญาตคงพิจารณาแต่เฉพาะจำเลยที่ ๑,๒,๓ ทั้งสองสำนวน
ก่อนศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอแก้ฟ้อง ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์อุทธรณ์ไม่ได้ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง และศาลจะเห็นสมควรสั่งอนุญาตหรือไม่เพียงไรนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.อาญา ม.๑๖๓,๑๖๔ สำหรับกรณีนี้จะใช้ ป.วิ.แพ่ง ม.๒๔,๒๒๗,๒๒๘ มาบังคับดังโจทก์ฎีกาได้ไม่ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๗๕/๒๔๙๔
ในตอนต่อมา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีทั้งสองนี้รวมกันแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้งในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้พิจารณาพิพากษาคดีนี้ อนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาฟังว่า หนังสือสัญญาซื้อขายยางระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาปลอม ซึ่งได้คิดทำขึ้นโดยไม่เป็นความจริง เพื่อเป็นหลักฐานประกอบข้ออ้างในการที่จำเลยที่ ๒ ร้องขัดทรัพย์ต่อศาลและบัญชีซื้อขายยางก็เป็นบัญชีปลอม และถูกนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในศาลโดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นพยานหลักฐานเท็จ จำเลยที่ ๑-๒ จึงผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๒๔,๒๒๗,๑๕๗,๑๕๕,๖๓ ประกอบด้วย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๓) ม. ๔ ส่วน ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องเท็จที่จะมีผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๑๕๘ นั้นต้องเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในคดีอาญา ในคดีนี้ จำเลยเป็นแต่สมคบกันยื่นคำร้องขัดทรัพย์เท็จเท่านั้น การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นผิดตามมาตรา ๑๕๘ ที่โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องให้ลงโทษจำเลยตาม ม.๑๑๘ ฐานแจ้งความเท็จอีกฐานหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองไม่เห็นสมควรให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นการชอบแล้ว เพราะถ้าจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามคำขอ ก็ต้องให้โอกาศจำเลยยื่นคำให้การแก้ฟ้องเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะทำให้คดีชักช้าไปโดยไม่สมควร อนึ่งเมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตาม ม.๑๕๘ เช่นนี้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า จะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๑๑๘ ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลย และไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้องแล้ว เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป จึงเป็นกรณีต้องห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญา ม.๑๙๒ วรรค ๓-๔ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นเพียงรับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๒ ไม่ ปรากฎว่า ได้ร่วมทำผิดกับจำเลยที่ ๑-๒ ด้วย จึงลงโทษจำเลยที่ ๓ ไม่ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้รวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เฉพาะตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๒๔,๒๒๗,๑๕๕,๖๓ และ ๗๑ ประกอบด้วย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๗๗ ม.๔มีกำหนดคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๒๐๐๐ บาท ถ้าไม่เสียค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๙,๓๐ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยในคดีที่ ๒ต่อจากโทษในคดีที่ ๑ นั้น เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง ๒ คดี ต่อเนื่องกันไม่ได้ ให้ยกคำขอของโจทก์ในข้อนี้ และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๓

Share