คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9330/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน บริษัท ย. ยื่นฟ้องโจทก์คดีนี้ว่า ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าที่ดินงวดเดือนกรกฎาคม 2551 ส่วนโจทก์ให้การต่อสู้ว่า ในทางปฏิบัติ บริษัท ย. จะต้องส่งใบแจ้งหนี้ก่อนแล้วโจทก์จึงจะชำระค่าเช่า แต่ในงวดดังกล่าวบริษัท ย. ไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบว่ายังค้างชำระค่าเช่าอยู่ จึงนำเงินไปชำระค่าเช่าในภายหลัง คำให้การของโจทก์ในคดีก่อนเท่ากับรับว่าตนชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากครบกำหนดชำระไปแล้ว แต่มีข้อเถียงโดยยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ว่า แม้โจทก์จะชำระล่าช้าแต่ก็มิได้ผิดนัดเพราะบริษัท ย. ยังไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ตนตามที่เคยปฏิบัติ ฉะนั้นประเด็นแห่งคดีในคดีก่อนจึงมีว่า บริษัท ย. จะต้องออกใบแจ้งหนี้ค่าเช่างวดดังกล่าวให้แก่โจทก์เสียก่อนแล้วโจทก์จึงจะต้องชำระค่าเช่า หรือไม่ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยในคดีก่อนที่ว่า โจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2551 อันเป็นการผิดนัดชำระค่าเช่า ทำให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟัง โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังว่า บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ โดยจำเลยซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน ทำสัญญาเช่าที่ดินให้โจทก์เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 256452 และ 256454 ตำบลบางโปรง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีกำหนดระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 โดยสัญญาเช่า ข้อ 3 กำหนดให้โจทก์ชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาท ทุกวันที่ 5 ของเดือน หากโจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์ยอมให้ถือว่าสัญญาเช่าระงับลงโดยมิพักต้องบอกกล่าวก่อน ต่อมา บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้นตามคำฟ้อง ขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินที่เช่ากับบังคับให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าเสียหาย โดยอ้างว่าโจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2551 อันเป็นการผิดนัดชำระค่าเช่าตามสัญญาเช่าที่ดิน ข้อ 3 ทำให้สัญญาเช่าระหว่างบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ กับโจทก์ระงับลงและมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ได้โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ส่วนโจทก์ให้การต่อสู้คดีตามคำให้การว่า โจทก์ไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่าแก่บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ และจำเลยเบิกความเป็นพยานบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ในการพิจารณาคดีต่อศาลชั้นต้นยืนยันว่า โจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 โดยโจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคมดังกล่าวในเดือนกันยายน 2551 ซึ่งเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ เพราะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่โจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 ให้แก่บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ แล้วปรากฏหลักฐานตามใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2552 โดยกล่าวหาว่าคำเบิกความอันเป็นเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้นซึ่งคำฟ้องของบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ กล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าและตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 อันเป็นเหตุให้โจทก์ถูกบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินและจำเลยเบิกความโดยทราบดีอยู่แล้วว่าคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวล้วนเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ส่วนคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ร้องขอ เนื่องจากบริษัทเยเนอรัลไอเอินฯ ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอดำเนินคดีแทนบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา
มีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่า คำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ และการที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จว่า โจทก์ไม่ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 นั้น จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ชำระค่าเช่างวดให้แก่บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ แล้วเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 หรือเกิดจากความเข้าใจผิดหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนของจำเลย อันถือได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาเบิกความอันเป็นเท็จ
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในคดีที่มีข้อพิพาทเช่นคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จ ความเท็จที่ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีโดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จนั้น ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยกล่าวหาว่าคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคำฟ้องของบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ กล่าวอ้างว่า โจทก์ไม่ชำระหนี้ค่าเช่าและตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 อันเป็นเหตุให้โจทก์ถูกบอกเลิกสัญญาเช่านั้น เป็นการกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการพิจารณาจากข้ออ้างในคำฟ้องของบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ แต่เพียงอย่างเดียว ที่ถูกต้องแล้วประเด็นแห่งคดีที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันได้โดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จนั้น ต้องเป็นประเด็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากการนำข้ออ้างและข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความของคู่ความแต่ละฝ่ายมาเทียบกันดู เมื่อคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จดังกล่าวตามคำฟ้องของบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ที่กล่าวอ้างว่า โจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2551 อันเป็นการผิดนัดชำระค่าเช่า ซึ่งตามสัญญาเช่าที่ดิน ข้อ 3 ทำให้สัญญาเช่าระหว่างบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ กับโจทก์ระงับลง และมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ได้โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ส่วนโจทก์ก็มีข้อต่อสู้ตามคำให้การว่า โจทก์ไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่าแก่บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ แต่อย่างใด เนื่องจากในทางปฏิบัติ บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ จะต้องส่งใบแจ้งหนี้ค่าเช่าถึงโจทก์ก่อน แล้วโจทก์จึงจะชำระค่าเช่าตามใบแจ้งหนี้ของบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ทุกครั้งและตลอดมา แต่นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา ปรากฏว่าบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ไม่ออกใบแจ้งหนี้ค่าเช่าให้แก่โจทก์ดังเช่นที่เคยปฏิบัติ และต่อมาเมื่อโจทก์ตรวจสอบพบว่ามีค่าเช่าค้างชำระ โจทก์จึงโอนเงินค่าเช่าค้างชำระให้แก่บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ซึ่งเท่ากับโจทก์รับว่าโจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากครบกำหนดชำระค่าเช่าในวันที่ 5 กรกฎาคม 2551 แล้ว แต่มีข้อเถียงโดยยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ว่า แม้โจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 หลังวันที่ 5 กรกฎาคม 2551 ตามที่สัญญาเช่าที่ดิน ข้อ 3 กำหนดไว้ก็ตาม แต่ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่า เนื่องจากตามทางปฏิบัติระหว่างบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ กับโจทก์นั้น ไม่ถือว่ากำหนดเวลาตามสัญญาเช่าที่ดิน ข้อ 3 ที่โจทก์ต้องชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนทุกวันที่ 5 ของเดือนเป็นสาระสำคัญของการเช่าแล้ว ในทางตรงกันข้าม บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ เองกลับเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ออกใบแจ้งหนี้ค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 ส่งให้แก่โจทก์ดังเช่นที่เคยปฏิบัติ โจทก์จึงสามารถที่จะชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 ช้ากว่ากำหนดชำระในวันที่ 5 กรกฎาคม 2551 ได้ และถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าอันจะทำให้สัญญาเช่าระงับลงและบริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ได้ ฉะนั้นประเด็นแห่งคดีที่เป็นข้อแพ้ชนะกันในคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้นก็คือ บริษัทเยนเนอรัลไอเอินฯ ต้องออกใบแจ้งหนี้ค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 ส่งให้แก่โจทก์เสียก่อน โจทก์จึงจะต้องชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 หรือไม่ ส่วนคำเบิกความของจำเลยอันเป็นเท็จว่า โจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 ในเดือนกันยายน 2551 ย่อมไม่เป็นข้อสำคัญในคดีหมายเลขดำที่ ม.154/2551 ของศาลชั้นต้น จึงไม่เข้าองค์ประกอบประการหนึ่งของความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จดังที่โจทก์ฟ้อง กรณีย่อมไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอีกประการหนึ่งตามฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยมีเจตนาเบิกความอันเป็นเท็จหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share