คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2487

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าผู้ที่โอนหนี้ไห้โจทนั้นไม่มีหนี้หรือสิทธิเรียก+องจะโอนไห้โจทได้ ผู้โอนย่อมสิทธิร้องขอเข้าเปนโจทร่วมได้
ผู้โอนสิทธิเรียกร้องขอเข้าเปนโจทร่วมและระบุว่าขอไห้ถือเอาของเดิมเปนฟ้องของตนด้วยนั้นไม่ถือว่าเปนการขัดกันไนตัว

ย่อยาว

โจทฟ้องว่า เดิมจำเลยเปนหนี้เงินกู้ ร.ท.สินหรั่งแบะทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ร.ท.สินหรั่งโอนหนี้รายนี้ไห้โจท ๆ ได้มีหนังสือบอกจำเลยซาบแล้ว ขอไห้จำเลยไช้
จำเลยต่อสู้หลายประการ เช่นต่อสู้ว่า ผิดต่อพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ไนที่สุดว่า ร.ท.สินหรั่งไม่มีหนี้หรือสิธิเรียกร้องที่จะโอนไห้โจทได้
ระหว่างพิจารนา ร.ท.สินหรั่งยื่นคำร้องขอเข้าเปนโจทร่วม อ้างว่าแม้โจทถูกยกฟ้องโจทอาดกลับมาฟ้องเอาผู้ร้อง และว่าขอไห้ถือเอาฟ้องเดิมเปนฟ้องของผู้ร้องด้วยฝ่ายจำเลยคัดค้าน
สาลชั้นต้นเห็นว่า เหตุที่ผู้ร้องสอดอ้างขอเข้าเปนโจทนั้นไม่เพียงพอ กรนีไม่เข้ามาตรา ๕๗ และที่ผู้ต้องขอไห้ถือเอาฟ้องเดิมเปนฟ้องของผู้ร้องสอดก็ยอ่มขัดกันไนตัว เพราะได้โอนหนี้ไปแล้ว จะเปนโจทร่วมได้หย่างไร ไห้ยกคำร้องสอด
ผู้ร้องอุธรน์ สาลอุธรน์ตัดสินว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องสอดได้
จำเลยดีกา สาลดีกาวินิฉัยว่า ตามคำไห้การจำเลย จำเลยได้ต่อสู้คดีโจทด้วยข้อต่อสู้อันอาสัยความเกี่ยวพันกับฉเพาะจำเลยกับผู้ร้อง ทั้งยกขึ้นกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องโอนสิทธิเรียกร้องไห้แก่โจทนั้นไม่สมบูรน์ ผู้ร้องก็ได้สแดงไนคำร้องว่า การโอนสิทธิเรียกร้องของผู้ร้องไห้แก่โจทนั้นโอนไปโดยมีค่าตอบแทน ผู้ร้องจึงทีสิทธิขออนุญาตเข้าเปนโจทร่วมได้ จึงพิพากสายืนตามตามสาลอุธรน์

Share