แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลพลเรือนจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 เมื่อศาลทหารพิพากษาชี้ขาดข้อเท็จจริงแล้วว่าพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ว่าประมาท ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ผู้เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาของศาลทหาร การที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งใหม่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้โจทก์เสียหาย ศาลจะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบหาได้ไม่ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2985/2518)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ แซงรถยนต์คันหน้าในทางโค้งและระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้ชนรถยนต์คันหน้าที่โจทก์โดยสารมาพลิกคว่ำ โจทก์ได้รับบาดเจ็บ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะคนขับรถยนต์คันที่โจทก์โดยสารมาประมาท จำเลยที่ ๑ ไม่ได้แซงรถในทางโค้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลทหารที่พิพากษายกฟ้องในคดีอาญาที่จำเลยที่ ๑ ถูกฟ้องในการกระทำเดียวกันนี้หาว่าขับรถยนต์ประมาณ เป็นเหตุให้คนตาย โจทก์บาดเจ็บ ไม่ผูกพันโจทก์ ฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่า จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ประมาททำให้โจทก์เสียหาย พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลทหารผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยที่ ๑ ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถยนต์ประมาท ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ไม่มีเหตุที่จำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิด กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจจะแบ่งแยกได้ อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) วินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕๔ บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีแพ่ง ศาลพลเรือนจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหาร ซึ่งหมายความว่าเมื่อคดีอาญาศาลทหารชี้ขาดข้อเท็จจริงอย่างไร คดีส่วนแพ่งศาลพลเรือนก็ต้องฟังข้อเท็จจริงตามนั้น คดีนี้ศาลทหารชี้ขาดข้อเท็จจริงแล้วว่าพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ ว่าประมาท ซึ่งผูกพันโจทก์ที่ศาลพลเรือนจำต้องถือตามในการพิพากษาคดีนี้ ฉะนั้น ที่โจทก์นำสืบในคดีนี้ใหม่ว่าจำเลยที่ ๑ ประมาททำให้โจทก์เสียหายศาลจะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบไม่ได้ เพราะขับกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวแล้วเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ประมาท ทำให้โจทก์เสียหายแล้ว จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ทั้งนี้ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๘๕/๒๕๑๘ ระหว่าง ร้อยตำรวจตรีกฤษณ์ เตมียบุตร โจทก์ นายวิเชียร สายวานิช จำเลย
พิพากษายืน