คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยลงชื่อเป็นผู้ฎีกาเอง ส่วนผู้เรียงหรือแต่งฟ้องฎีกานั้นเป็นบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ทนายความและไม่ใช่ผู้ที่ได้รับยกเว้นให้เรียงหรือแต่งฟ้องฎีกาให้จำเลยได้ตาม พระราชบัญญัติทนายความพ.ศ. 2528 มาตรา 33 ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่เกิดจากการกระทำอันไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 26, 66, 76, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 8ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และให้ริบของกลางทั้งหมด กับสั่งห้ามจำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทุกชนิดภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15 วรรคสอง, 26 วรรคแรก, 66 วรรคแรก,76 วรรคแรก, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528มาตรา 4, 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 30 ปี รวมโทษจำคุก 31 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 20 ปี 8 เดือนริบของกลางทั้งหมด คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยเฉพาะความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีกำหนด 20 ปีลดโทษให้หนึ่งในสามจำคุก 13 ปี 4 เดือน รวมโทษสองกระทงเป็นจำคุก13 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าในฎีกาของจำเลยมีจำเลยลงชื่อเป็นผู้ฎีกาเองส่วนผู้เรียงหรือแต่งฟ้องฎีกานั้นเป็นบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ทนายความและไม่ใช่ผู้ที่ได้รับยกเว้นให้เรียงหรือแต่งฟ้องฎีกาให้จำเลยได้ ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528มาตรา 33 ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่เกิดจากการกระทำอันไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share