แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความอ้างแผนที่ในคดีเรื่องก่อน ศาลมีอำนาจจะวินิจฉัยแผนที่ไม่ได้ โดยไม่วินิจฉัยถึงแผนที่ทำกันขึ้นใหม่สำหรับคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ป.ต. จำเลยปลูกเรือนและจอดแพอยู่ที่ชายเลนบังหน้าบ้านโจทก์สำนวนหนึ่ง และฟ้องว่า ล.ง. จำเลยบุกรุกเข้าไปทำรั้วในที่ชายเลนหน้าที่ดินโจทก์อีกสำนวนหนึ่ง จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
ศาลล่างทั้ง ๒ เห็นว่า ตามแผนที่ในสำนวนคดีแดงที่ ๘/๖๖ ที่โจทก์จำเลยต่างอ้างประกอบคดีนี้ซึ่ง ป. จำเลยกับโจทก์เลยเปนความกันเรื่องที่ตรงนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เปนความกันในที่บนบก และได้ทำยอมกันนั้น กับแผนที่พิพาทในคดีนี้ รั้ว เรือนและแพของจำเลยหาเลยเข้ามาในที่ของโจทก์ไม่ จึงตัดสินให้ยกฟ้องทั้ง ๒ สำนวน
โจทก์ฎีกาคัดค้านในข้อกฎหมายว่า
๑. ศาลไม่ควรย้อนไปพิจารณาแผนที่ทำยอมในคดีก่อน เพราะไม่ใช่เผยที่พิพาท
๒. แม้จะย้อนไปวินิจฉัยก็ดี แต่สัญญายอมในเรื่องนั้นพิพาทกันทะเลาะที่บนบก
๓. เมื่อได้ทำยอมกันแล้ว เจ้าพนักงานได้ไปวัดแบ่งเขตร์ให้โจทก์จำเลย ชั้นแรก ป. จำเลยคัดค้านว่ารังวัดไม่ถูก แต่ภายหลัง ป.รับรองว่าถูกต้องแล้วดังนี้ คดีต้องบังคับตาม พรบ ออกโฉนดที่ดิน จะยกสัญญายอมขึ้นเปนบทตัดสำนวนมิชอบ
ศาลฎีกาเห็นว่า ในฎีกาข้อ ๑ ฟังไม่ขึ้น เพราะโจทก์จำเลยต่างอ้างสัญญายอมนั้นขึ้นประกอบคดี ศาลจึงต้องยกขึ้นพิจารณา
ในข้อ ๒ เห็นว่า เมื่อที่ดินบนบกปรากฏในสัญญายอมว่าเปนของ ป. จำเลยแล้ว ที่ชายเลนที่อยู่หน้าที่ดินนั้น ตามกฎหมายโจทก์ก็ไม่มีสิทธิบังคับหรือหวงห้ามได้
ในข้อ ๓ ก็ฟังไม่ได้+กัน เพราะการที ป.จำเลยไม่คัดค้านต่อไป ก็เพราะเห็นว่าแผนที่นั้นถูกต้องแล้วและการออกโฉนดก็ได้ออกตามสัญญายอมเดิมดังนี้ จึงตัดสินยืนตามศาลล่าง