คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยตกลงกันให้จำเลยเป็นผู้ติดต่อดำเนินการเรื่องโจทก์ขอนำรถยนต์โดยสาร 2 คันเข้าวิ่งร่วมกับบริษัท ข. โดยโจทก์ยอมให้เงินจำนวน 250,000 บาท จำเลยรับรองว่าหากเรื่องที่ติดต่อไม่สำเร็จจำเลยจะคืนเงินให้โจทก์ หลักฐานการรับเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้มีใจความว่า เงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์นั้นเพื่อที่จะให้ไปติดต่อเรื่องรถทัวร์เข้าบริษัท ข. และจำเลยก็รับว่าเรื่องโจทก์จะเอารถทัวร์เข้าร่วมบริษัท ข. นั้น จะต้องเสียค่าวิ่งเต้นค่าเลี้ยงดูเจ้าหน้าที่สูง ไม่ปรากฏเลยว่า มีการพูดกันให้นำเงินไปให้สินบนหรือสินน้ำใจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์นั้นเป็นเงินที่โจทก์มอบให้จำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปให้สินบนแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยไม่ชัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี จึงไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยติดต่อโจทก์ให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการติดต่อเรื่องโจทก์ขอนำรถยนต์โดยสาร (รถทัวร์) ๒ คัน เข้าร่วมเดินรถกับรถยนต์โดยสารบริษัทขนส่ง จำกัด และจดทะเบียนรถยนต์โดยสาร ๑ คัน โดยจำเลยเรียกค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์เชื่อจึงตกลงให้จำเลยดำเนินการ จำเลยสัญญาว่าหากไม่สำเร็จจะคืนเงินให้ทั้งหมดทันที ต่อมากระทรวงคมนาคมมีหนังสือให้โจทก์ทราบว่า รถยนต์ทั้งสองคันของโจทก์ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะอนุญาตให้บริษัทขนส่ง จำกัด รับเข้าร่วมเดินรถได้ โจทก์ขอเงินคืน แต่จำเลยขอผัดเรื่อยมา ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์หลอกลวงจำเลยว่ารถยนต์โดยสารทั้งสองคันเป็นของโจทก์ซึ่งได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อกรมขนส่งทางบก ขอนำรถยนต์ ๒ คัน เข้าร่วมเดินรถกับบริษัทขนส่ง จำกัด ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต ขอให้จำเลยช่วยเหลือติดต่อ โดยโจทก์ยอมเสียค่าใช้จ่าย ๒๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายเป็นค่าป่วยการให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจที่จะอนุญาติให้นำรถของโจทก์เข้าร่วมเดินกับบริษัทขนส่ง จำกัด ให้ได้ จำเลยทราบภายหลังว่ารถยนต์ทั้งสองคันเป็นรถยนต์ผิดกฎหมายไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ทางการจะอนุญาตให้เข้าวิ่งร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด ได้ และต่อสู้ด้วยว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาและได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากโจทก์ไปในทางการที่โจทก์ว่าจ้างหมดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยตกลงกันให้จำเลยเป็นผู้ติดต่อดำเนินการเรื่องโจทก์ขอให้นำรถยนต์โดยสาร (รถทัวร์) ๒ คันเข้าวิ่งร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด ในเส้นทางสายกรุงเทพฯ – กาฬสินธุ์ โดยโจทก์ยอมให้เงินจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท และจำเลยได้รับเงินดังกล่าวจากโจทก์แล้ว จำเลยรับรองว่าหากเรื่องที่ติดต่อไม่สำเร็จจำเลยจะคืนเงินให้โจทก์ แล้ววินิจฉัยว่าตามหลักฐานการรับเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แล้วมีใจความว่า เงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์นั้นเพื่อที่จะให้ไปติดต่อเรื่องรถทัวร์เข้า บ.ข.ส. (บริษัทขนส่ง จำกัด) และจำเลยจะคืนเงินให้เมื่อเรื่องที่ติดต่อนี้ไม่สำเร็จ จำเลยก็รับว่าในการเจรจากับโจทก์เรื่องโจทก์จะเอารถทัวร์เข้าร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด นั้น จำเลยบอกโจทก์ว่าจะต้องเสียค่าวิ่งเต้นค่าเลี้ยงดูเจ้าหน้าที่สูง ไม่ปรากฏว่า โจทก์และจำเลยได้พูดกันว่าให้นำเงินไปให้สินบนหรือสินน้ำใจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์นั้น เป็นเงินที่โจทก์มอบให้จำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปให้สินบนแก่พนักงานเจ้าหน้าที่สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี จึงไม่เป็นโมฆะ และวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ไม่ได้หลอกลวงหรือปกปิดข้อเท็จจริงไม่แจ้งให้จำเลยทราบว่ารถยนต์ของโจทก์เป็นรถที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ทางการจะอนุญาติให้เข้าวิ่งร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด เมื่อจำเลยไม่สามารถดำเนินการให้รถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด ได้ จำเลยก็ต้องคืนเงินที่รับไปให้แก่โจทก์ตามสัญญา
พิพากษายืน

Share