คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8650/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะกำหนดหลักการสำคัญเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐในการจ่ายค่าทดแทนเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ว่า “…ต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของ ตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาที่ได้รับความเสียหายในการเวนคืนนั้น ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และความในวรรคสองยังกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดค่าทดแทนด้วยว่า “การกำหนดค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งต้องกำหนดให้อย่างเป็นธรรมโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติ การได้มา สภาพ และที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์และความเสียหายของผู้ถูกเวนคืน” แต่การได้มาโดยการซื้ออสังหาริมทรัพย์รวมทั้งความเสียหายของผู้ถูกเวนคืนนั้น จะต้องเป็นการได้มาโดยการซื้อขายกันจริงๆ ด้วยความสุจริต และผู้ถูกเวนคืนได้รับความเสียหายอย่างแท้จริงด้วย จึงจะนำมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,685,992.18 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของเงินฝากประจำของธนาคารออมสิน จากต้นเงินจำนวน 2,310,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 350,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน นับแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้จำนวน 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินของต้นเงิน 350,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ตามโจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 444 และ 445 ตำบลแก่งผักกูด อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ 200 ตารางวา และ 360 ตารางวา ตามลำดับ ซึ่งที่ดินทั้งหมดอยู่ในเขตที่จะต้องเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบัวชุม ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่ามะนาว ตำบลท่าดินดำ ตำบลชัยบาดาล ตำบลม่วงค่อม ตำบลมะกอกหวาน อำเภอชัยบาดาล ตำบลท่าหลวง ตำบลแก่งผักกูด อำเภอท่าหลวง ตำบลโคกสลุง ตำบลมะนาวหวาน ตำบลน้ำสุด ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และตำบลวังม่วง ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี พ.ศ.2540 เพื่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำและอาคารประกอบตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2540 คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ตารางวาละ 375 บาท รวมเป็นเงิน 210,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ขอเพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินต่อจำเลยที่ 1 เป็นตารางวาละ 4,500 บาท จำเลยที่ 1 มิได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ในอัตราตารางวาละ 4,500 บาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ขึ้นอีกตารางวาละ 625 บาท รวมกับเงินค่าทดแทนที่ดินที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดไว้เดิมตารางวาละ 375 บาท เป็นตารางวาละ 1,000 บาท โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เงินค่าทดแทนที่ดินอัตราตารางวาละ 1,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้แก่โจทก์นั้น ถูกต้องเป็นธรรมแก่โจทก์และสังคมแล้วจำเลยทั้งสามฎีกาว่าเงินค่าทดแทนที่ดินตารางวาละ 375 บาท ที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดไว้ถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า เงินค่าทดแทนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามฟ้องรวมเนื้อที่ 560 ตารางวา ที่เป็นธรรมควรเป็นตารางวาละเท่าใด เห็นว่า แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะกำหนดหลักการสำคัญเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐในการจ่ายค่าทดแทนการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ว่า “…ต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของ ตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาที่ได้รับความเสียหายในการเวนคืนนั้น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และความในวรรคสองยังกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดค่าทดแทนด้วยว่า “การกำหนดค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งต้องกำหนดให้อย่างเป็นธรรมโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติ การได้มา สภาพ และที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์และความเสียหายของผู้ถูกการเวนคืน” ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ศาลล่างทั้งสองใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยศาลล่างทั้งสองคำนึงถึงราคาที่ดินที่โจทก์ซื้อมาประกอบการพิจารณากำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินด้วยก็ตาม แต่การได้มาโดยการซื้ออสังหาริมทรัพย์รวมทั้งความเสียหายของผู้ถูกเวนคืนนั้น จะต้องเป็นการได้มาโดยการซื้อขายกันจริงๆ ด้วยความสุจริตและผู้ถูกเวนคืนได้รับความเสียหายอย่างแท้จริงด้วยจึงจะนำมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนได้ คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการได้มาซึ่งที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ที่โจทก์อ้างว่าซื้อจากบริษัทสวนป่าสัก จำกัด ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นดินและปลูกต้นไม้ เฉลี่ยราคาตารางวาละ 1,900 บาท นั้น เป็นการตกลงซื้อขายกันจริงหรือไม่ ในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีข้อพิรุธหลายประการ ทำให้มีข้อน่าสงสัยว่าจะมีการตกลงซื้อขายกันตามเอกสารสัญญาดังกล่าวจริงตามที่โจทก์นำสืบหรือไม่ …พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุน่าเชื่อว่าแท้จริงแล้ว โจทก์หาใช่ลูกค้าผู้ซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจากบริษัทสวนป่าสัก จำกัด ตามที่ปรากฏในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาจ้างปรับปรุงพื้นดินและปลูกต้นไม้ไม่ หากแต่สัญญาทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวมีการสมคบกันจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า โจทก์ได้มาซึ่งที่ดินพิพาททั้งสองแปลงที่จะถูกเวนคืนโดยการซื้อมาด้วยราคาที่สูงเกินกว่าความจริงมาก ดังนั้น ราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงซึ่งตามสัญญาระบุว่า โจทก์ซื้อมารวมแล้วตารางวาละ 1,900 บาท จึงรับฟังไม่ได้ ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงยังมีสภาพเป็นที่ดินเกษตรกรรมซึ่งยังไม่ได้พัฒนาให้เหมาะสมสำหรับใช้เป็นที่ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ทั้งตั้งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ… ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ จึงกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่กำหนดไว้ในมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคมและสอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 49 แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share