คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ ผู้กู้และจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาซึ่งตกลงกันต่อหน้าศาลในคดีอาญาสินไหม
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้ทำสัญญากู้และค้ำประกันจริง เพราะโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้คำมั่นว่าจะถอนคดีทั้งปวงที่โจทก์ฟ้องรวมตลอดทั้งคำร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๒ ได้บอกล้างสัญญาแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ชั้นพิจารณาคู่ความรับกันว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงกันต่อหน้าศาลว่า จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้เงินโจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท เมื่อโจทก์ถอนคดีอาญารวม ๓ คดี ดังระบุหมายเลขแต่วันตกลงจำเลยที่ ๑ ยังไม่มีเงินชำระ จึงได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ ผัดชำระภายใน ๕ เดือนและจำเลยที่ ๒ ได้เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏตามสัญญากู้ที่ส่งศาลแล้วโจทก์ได้ขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวในวันนั้น ครั้นถึงกำหนด จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระเงินตามสัญญา โดยจำเลยที่ ๑ อ้างว่า โจทก์ยังถอนคดีไม่หมด คู่ความตกลงท้ากันขอสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียวว่า โจทก์ถอนคดีหมดหรือยัง ถือเป็นข้อแพ้ชนะ ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งงดสืบพยาน และวินิจฉัยว่า โจทก์ถอนคดีหมดแล้ว จำเลยต้องแพ้ตามคำท้า พิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ใจความสำคัญว่า สัญญากู้มิได้ทำต่อหน้าศาล และโจทก์ตกลงถอนคดีทั้งหมดรวมทั้งคำร้องทุกข์ด้วย ศาลชั้นต้นมิได้รู้ถึงข้อตกลงนี้ ควรให้นำสืบพยานประกอบว่าได้ตกลงกันมีสารสำคัญประการใดไม่ใช่ถือเพียงรายงานที่ศาลจดไว้ อนึ่งจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง จำเลยบอกเลิกสัญญาแล้ว และโต้แย้งความสมบูรณ์ของสัญญา แต่ศาลล่างไม่ได้วินิจฉัยประเด็นเหล่านี้ถ้าไม่ได้ฟังพยาน ย่อมจะทราบข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากนั้น จำเลยยังฎีกาเถียงข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยังถอนคดีไม่หมด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญากู้จะได้ทำขึ้นต่อหน้าศาลหรือไม่นั้นไม่ทำให้ผลของสัญญาเปลี่ยนแปลง เพราะคู่ความรับกันแล้วว่าทำสัญญาจริง ข้อตกลงระหว่างคู่กรณีมีสารสำคัญประการใดนั้น คู่ความได้แถลงรับข้อเท็จจริงกันปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔(๑) เพราะเป็นอันฟังได้ตามที่รับกัน และเมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ก็ไม่จำต้องนำสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีกศาลมีอำนาจงดสืบพยานได้
ตามที่คู่ความรับกันฟังได้ว่า ที่จำเลยทำสัญญากู้และค้ำประกันให้โจทก์ก็เนื่องจากโจทก์ยอมถอนคดีอาญา ๓ เรื่องจากศาล และโจทก์ได้ถอนไปแล้วในวันทำสัญญานั้นที่จำเลยเถียงว่า โจทก์ยังถอนคดีไม่หมด จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่รับกัน ฟังไม่ขึ้น แม้ในคำให้การจำเลยจะต่อสู้ว่า ต้องให้โจทก์ถอนคดีที่ร้องทุกข์ไว้ต่อพนักงานสอบสวนด้วย แต่เมื่อในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลไม่ปรากฏว่า จำเลยได้แถลงความข้อนี้ไว้ ย่อมจะหมายความรวมถึงการถอนคดีชั้นพนักงานสอบสวนด้วยไม่ได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นที่จำเลยต่อสู้นั้น ปรากฏว่า คู่ความท้าสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียวว่า โจทก์ถอนฟ้องคดีหมดหรือยัง ถือเป็นข้อแพ้ชนะส่วนประเด็นอื่นไม่ติดใจว่ากล่าวต่อไป ย่อมถือได้ว่าข้อต่อสู้อื่นของจำเลยเป็นอันสละไม่ถือเป็นประเด็นข้อพิพาทแล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยข้อต่อสู้อื่นของจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยที่ชอบ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่รับกันว่าโจทก์ได้ถอนคดีหมดแล้ว
พิพากษายืน.

Share