คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำฟ้องความว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินไว้แก่จำเลยแต่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก่อนสัญญาถึงกำหนด โจทก์ขอไถ่ จำเลยบ่ายเบี่ยงเพื่อจำเลยจะได้อ้างกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาขายฝากนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีย่อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก และให้จำเลยส่งมอบโฉนดให้แก่โจทก์ ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลย โดยอ้างว่านิติกรรมที่ได้ทำไว้ต่อกันนั้นเสื่อมเสีย คำขอของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อันจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วันแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ศาลก็ต้องสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๔๔๗๑ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๓ โจทก์ตกลงจำนองที่ดินแปลงนี้แก่จำเลยเป็นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดสองปี ในวันเดียวกันนั้นเอง โจทก์จำเลยได้นำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนและทำสัญญาขายฝากต่อเจ้าพนักงานที่ดินอันเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวง ความจริงโจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาจำนองภายหลังการทำนิติกรรมดังกล่าว แต่ก่อนถึงกำหนดที่ตกลงกัน โจทก์ติดต่อขอไถ่ถอนจากจำเลยหลายครั้ง จำเลยบ่ายเบี่ยงตลอดมา เพื่อให้พ้นกำหนดการขายฝากเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดที่ ๑๔๔๗๑ ฉบับลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๓ เป็นโมฆะ และมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากดังกล่าว ให้จำเลยส่งมอบโฉนดแก่โจทก์
โจทก์เสียค่าธรรมเนียมมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า ฟ้องอ้างว่านิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ ขอให้ศาลเพิกถอนและส่งโฉนดพิพาทคืนโจทก์เป็นผลเท่ากับโจทก์เรียกที่ดินพิพาทคืนเป็นคดีมีทุนทรัพย์ให้โจทก์ตีราคาที่ดินพิพาทแต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาขายฝาก แล้วเสียค่าธรรมเนียมให้ครบตามกฎหมายภายใน ๑๕ วัน
โจทก์ทราบคำสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินไว้แก่จำเลยเป็นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝาก และจดทะเบียนขายฝากที่ดินดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินเป็นเงิน ๓,๙๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดสองปี ก่อนสัญญาถึงกำหนดโจทก์ขอไถ่ถอนจำเลยบ่ายเบี่ยง เพื่อจำเลยจะได้อ้างกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาขายฝากนั้นเป็นนิติกรรมอำพราง เป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณี ย่อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก และให้จำเลยส่งมอบโฉนดให้แก่โจทก์ ดังนี้ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลยโดยอ้างว่านิติกรรมที่ได้ทำไว้ต่อกันนั้นเสื่อมเสีย คำขอของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ได้แก่ราคาที่ดินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนนั่นเอง คดีของโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อันจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน ๑๕ วัน แล้วโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ศาลก็ต้องสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
พิพากษายืน

Share