คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8514/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การฟ้องเพื่อติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เป็นการใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่ทรัพย์สินที่มีรูปร่างอันได้แก่อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ส่วนสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นสิทธิในนามธรรม การใช้สิทธิฟ้องคดีจึงต้องเป็นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองไว้โดยเฉพาะอันได้แก่ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจึงไม่อาจนำมาตรา 1336 มาใช้บังคับได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่า ส. เป็นการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41(1)ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้จึงต้องนำบทบัญญัติทั่วไปว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ซึ่งมีกำหนด10 ปี มาใช้บังคับโดยอนุโลม และต้องเริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 เดิมคือนับตั้งแต่วันที่ ส. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า POLO อ่านว่าโปโล ในรูปแบบและลักษณะต่าง ๆ กันเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า RALPH LAUREN อ่านว่าราล์ฟ ลอเรน เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า POLO RALPH LAURENอ่านว่า โปโล ราล์ฟ ลอเรน อักษรโรมันคำว่า POLO ในกรอบรูปสี่เหลี่ยมที่มีคำว่า BY RALPH LAUREN เป็นภาคส่วนประกอบเครื่องหมายการค้ารูปประดิษฐ์คนขี่ม้าตีคลี่ในลักษณะต่าง ๆ และเครื่องหมายการค้ารูปประดิษฐ์คนขี่ม้าตีคลีที่อยู่รวมกับเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า POLO หรือ RALPH LAUREN นอกจากนี้คำว่า POLO ยังเป็นชื่อทางการค้าและชื่อนิติบุคคลของโจทก์อีกด้วยโจทก์และบริษัทในเครือของโจทก์ได้จดทะเบียนและยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้ในประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมากสำหรับในประเทศไทยนั้นโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า POLO RALPH LAUREN โดยจัดคำดังกล่าวเป็นรูปวงกลมตามรูปที่ 6ของเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 เพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 38ตามทะเบียนเลขที่ 106318 เมื่อ พ.ศ. 2528 และโจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ของโจทก์ต่อกองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ทั้งห้าให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 46528(คำขอเลขที่ 74811) หากจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า และห้ามจำเลยทั้งห้าใช้หรือยื่นขอจดทะเบียนหรือเข้าเกี่ยวข้องใด ๆ กับเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า POLP ใน 6 ลักษณะ ตามเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์รวมทั้งเครื่องหมายอื่นใดที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่นายเสรีจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2533 เกินกว่า 10 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า POLO อ่านว่าโปโล ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2473ตามเอกสารการจดทะเบียนพร้อมคำแปลหมาย จ.20 และประเทศอื่น ๆประมาณ 50 ประเทศ มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว สำหรับในประเทศไทยโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า POLP RALPH LAURENโดยจัดคำดังกล่าวเป็นรูปวงกลมเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 38ตามทะเบียนเลขที่ 106318 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2528ตามสำเนาทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย จ.24 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2532 โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า POLO อ่านว่า โปโล ในกรอบสี่เหลี่ยมสำหรับสินค้าในจำพวกที่ 38 ประเภทเครื่องนุ่งห่มและแต่งกาย ตามคำขอเลขที่197094 แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่รับจดทะเบียนให้ด้วยเหตุว่าเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้ารายพิพาทของนายเสรี เอื้อวัฒนะสกุลที่ได้จดทะเบียนไว้ตามคำขอเลขที่ 74811 ทะเบียนเลขที่ 46528 ปรากฏตามสำเนาคำขอและคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย จ.25 และ จ.32 ซึ่งปรากฏว่านายเสรีได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเพื่อใช้กับสินค้าในจำพวกเดียวกับโจทก์และนายทะเบียนได้จดทะเบียนให้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2514 ตามสำเนาทะเบียนและทะเบียนแบบเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย ล.1 และล.2 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาในทำนองว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์คืนมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 โจทก์จึงฟ้องได้ตลอดไปไม่มีกำหนดอายุความ เห็นว่าการฟ้องเพื่อติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินตามมาตรา 1336 ดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่ทรัพย์สินที่มีรูปร่างอันได้แก่อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ส่วนสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นทรัพย์สินทางปัญหาซึ่งเป็นสิทธิในนามธรรมการใช้สิทธิฟ้องคดีจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองไว้โดยเฉพาะอันได้แก่ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ กรณีของโจทก์จึงไม่อาจนำมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้ ตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาทโดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่านายเสรีและจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของนายเสรีเป็นการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474มาตรา 41(1) ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องนำบทบัญญัติทั่วไปว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม ซึ่งมีกำหนด 10 ปี มาใช้บังคับโดยอนุโลมและต้องเริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 เดิม คือนับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2514 อันเป็นวันจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท แต่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 2กรกฎาคม 2533 เกินกว่า 10 ปี แล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ”
พิพากษายืน

Share