แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
หนี้คดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่โจทก์ได้โอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และต่อมาก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ได้โอนสินทรัพย์รายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปแล้ว สิทธิเรียกร้องที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ในฐานะผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงโอนไปเป็นของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยตาม พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2540 มาตรา 30 บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไป
ตาม พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง และวรรคหกนั้น เมื่อได้มีการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปแล้วก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะได้มีคำพิพากษา และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น ชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะต้องสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเพิ่งปรากฏในชั้นพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมิได้ร้องขอเป็นอย่างอื่น แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวคู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้จำเลยทั้งสี่ยกปัญหาขึ้นกล่าวในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นนี้ได้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,412,881,904.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงิน 957,756,735.13 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำเลยทั้งสี่ไม่คัดค้าน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,412,881,904.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) และประกาศธนาคารโจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 957,756,735.13 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 กันยายน 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 30,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกัน จนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนตามสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ประการแรกว่า หนี้คดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่หลังจากยื่นฟ้องคดีนี้แล้วโจทก์ได้โอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และต่อมาบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ได้โอนหนี้รายนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 แล้ว ก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา ชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 วรรคหก แต่จำเลยทั้งสี่เพิ่งทราบถึงการโอนหนี้ดังกล่าวหลังจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นได้ชอบที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เพราะบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้นศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้จดรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเรียกบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ จำเลยทั้งสี่และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมาพร้อมกันเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงว่า “(1) หนี้ตามคำฟ้องคดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ได้โอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 แล้วอย่างใดหรือไม่ และ (2) หากปรากฏว่ามีการโอนสินทรัพย์ตามข้อ (1) แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยแล้ว มีการโอนตั้งแต่เมื่อใดและบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยประสงค์จะให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือจะร้องขอเป็นอย่างอื่นตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมาตรา 30 วรรคหก หรือไม่ และจะเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนหรือไม่” ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้นัดพร้อมเพื่อสอบข้อเท็จจริงโดยออกหมายนัดและแนบสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศส่งให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด จำเลยทั้งสี่ และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย โดยระบุในหมายนัดด้วยว่าหากไม่มาศาลตามนัดถือว่าไม่ติดใจแถลงข้อเท็จจริงใดๆ และยอมให้ศาลฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยไปฝ่ายเดียว จำเลยทั้งสี่ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยทราบนัดโดยชอบแล้ว เมื่อถึงวันนัดพร้อมเพื่อสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไม่มาศาล ดังนั้น จึงต้องฟังข้อเท็จจริง หนี้คดีนี้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่โจทก์ได้โอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ และต่อมาก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ได้โอนสินทรัพย์รายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปแล้ว สิทธิเรียกร้องที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัดในฐานะผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงโอนไปเป็นของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไป และตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง และวรรคหก นั้น เมื่อได้มีการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายนี้ให้แก่ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปแล้วก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะได้มีคำพิพากษาและบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น ชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะต้องสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเพิ่งปรากฏในชั้นพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวคู่ความจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้จำเลยทั้งสี่ยกปัญหาขึ้นกล่าวในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นนี้ได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง กรณีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสี่อีกต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ