แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก.บุตรโจทก์สมรสกับ ท. ก.และ ท.ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินสมรสให้ซึ่งกันและกัน ก. ตายก่อน ท. จึงไปขอรับมรดกต่อมา ท.ตาย ก่อนตาย ท.ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ที่ได้รับมรดกมาทั้งหมดให้จำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะเป็นทายาทโดยธรรมของ ก. ก็ต้องถูกตัดมิให้รับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดก อ้างว่าเป็นทายาทของ ก. จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในกองมรดก เพราะ ก.ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนของ ก.ให้ ท.ทั้งหมดแล้วซึ่งจำเลยจะส่งศาลในวันพิจารณานั้น เป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งไม่เคลือบคลุม
จำเลยมิได้ให้การถึงว่าจำเลยนำเอาพินัยกรรมไปขอรับมรดก การที่จำเลยนำสืบว่าพินัยกรรมหายขณะที่ขอรับมรดกจึงมิได้เอาพินัยกรรมไปขอรับมรดกนั้น ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้รับพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมทำพินัยกรรมหายจึงไปขอรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมนั้นหาใช่ผู้รับพินัยกรรมบอกสละ พินัยกรรมซึ่งทำให้ข้อกำหนดในพินัยกรรมตกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(3) ไม่ เพราะมิใช่เป็นการสละไม่ขอรับมรดกหรือมีเจตนาจะไม่รับเอาทรัพย์ตามพินัยกรรมผู้รับพินัยกรรมชอบที่จะนำ พินัยกรรมที่หาพบในภายหลังไปขอรับมรดกในฐานะเป็นผู้รับพินัยกรรมอีกได้ และการที่หาพินัยกรรมไม่พบนั้นก็ถือไม่ได้ว่าผู้รับพินัยกรรมปกปิดพินัยกรรม
สามีภริยาทำพินัยกรรมฉบับเดียวกัน ต่างยกทรัพย์ให้แก่กันเมื่อตายนั้น หาใช่เป็นการตั้งผู้รับพินัยกรรมโดยมีเงื่อนไขบังคับว่าผู้รับพินัยกรรมต้องทำ พินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนของตนให้แก่ผู้ทำพินัยกรรมไม่ พินัยกรรมดังกล่าวสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ (อ้างฎีกาที่ 1764/2498)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายทองเงินได้สมรสกับนางกิมฮวยบุตรโจทก์ ต่างฝ่ายต่างมีสินเดิมมีสินสมรสคือที่ดินรวม ๗ โฉนด และสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน กับบ่อเลี้ยงปลา เครื่องทองรูปพรรณและเงินสด นางกิมฮวยถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรม โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของนางกิมฮวย ๑ ใน ๔ ของทรัพย์ทั้งหมด ต่อมานายทองเงินถึงแก่กรรม ก่อนถึงแก่กรรมได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินดังกล่าวให้จำเลย จำเลยนำพินัยกรรมไปขอรับมรดกต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์คัดค้าน ขอให้แบ่งส่วนของโจทก์ให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ยินยอมจึงขอให้ศาลแสดงว่าพินัยกรรมของนายทองเงินเป็นโมฆะ ในส่วนทรัพย์สิน ๑ ใน ๔ ของโจทก์ ให้แบ่งทรัพย์ให้โจทก์ ๑ ใน ๔ ส่วนพร้อมกับดอกเบี้ย
โจทก์ขอให้เรียกนายเดชผู้จัดการมรดกของนายทองเงินเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยและจำเลยร่วมให้การว่า นายทองเงินสมรสกับนางกิมฮวย ต่างฝ่ายต่างมีสินเดิม ไม่มีบุตรด้วยกันได้รับนางบุญรอดเป็นบุตรบุญธรรมนางบุญรอดสมรสกับนายประมวล มีบุตรด้วยกันคือ จำเลยที่ ๖ ถึงที่ ๑๓ นางกิมฮวยถึงแก่กรรมแล้วนายทองเงินได้สมรสกับนางง้วยจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๑, ๒ และ ๓ เป็นบุตรนางง้วยเกิดแต่สามีคนก่อน นายทองเงินได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่จำเลยทั้ง ๑๓ คน และตั้งให้จำเลยร่วมเป็นผู้จัดการมรดก นางกิมฮวยได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนของนางกิมฮวยให้แก่นายทองเงินทั้งหมด โจทก์ฟ้องเมื่อพ้น ๑ ปีนับแต่นางกิมฮวยตาย คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมแบ่งที่ดิน ตึก โรงแรม บ้าน และปลาที่เลี้ยงไว้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ ๑ ใน ๔ ส่วน
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ตามฎีกาข้อ ๑ มีปัญหาว่า คำให้การของจำเลยที่อ้างถึงพินัยกรรมของนางกิมฮวยเป็นคำให้การเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรค ๒ บัญญัติถึงการให้การแก้คดีไว้ว่าให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกอ้างว่าเป็นทายาทของนางกิมฮวย จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในกองมรดกเพราะนางกิมฮวยทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนของนางกิมฮวยให้กับ นายทองเงินทั้งหมด ซึ่งจำเลยจะขอส่งศาลในวันพิจารณา เป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในกองมรดก เพราะมรดกรายนี้มีพินัยกรรม พินัยกรรมดังกล่าวจะมีลักษณะอย่างใดเป็นรายละเอียดซึ่งหากโจทก์ติดใจหรือจะโต้แย้งประการใด ก็อาจร้องขอต่อศาลให้จำเลยส่งต้นฉบับหรือสำเนาให้โจทก์ตรวจดูก่อนได้ คำให้การของจำเลยไม่เคลือบคลุม
(ตามฎีกาข้อ ๒ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า นางกิมฮวยได้ทำพินัยกรรมไว้จริงหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าได้ทำพินัยกรรมไว้จริง)
ที่โจทก์ฎีการวมมาในข้อ ๒ ว่า จำเลยจะนำสืบว่าพินัยกรรมหมาย ล.๑ หายในขณะไปขอรับมรดกไม่ได้ เป็นการสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้นั้น เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การถึงว่าจำเลยนำเอาพินัยกรรมไปขอรับมรดก ที่จำเลยนำสืบไปเช่นนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุใดจำเลยจึงไม่เอาพินัยกรรมที่จำเลยอ้างว่าเจ้ามรดกได้ทำไว้ไปขอรับมรดก จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่โจทก์ฎีกาว่านายทองเงินอ้างสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยชอบธรรม จึงถูกกฎหมายปิดปากจะอ้างสิทธิตามพินัยกรรมหมาย ล.๑ อีกไม่ได้ นั้น เห็นว่าในกรณีเช่นนี้หาใช่เป็นการที่ผู้รับพินัยกรรมบอกสละพินัยกรรมซึ่งทำให้ข้อกำหนดพินัยกรรมตกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๙๘(๓) ไม่ เพราะมิใช่เป็นการสละไมขอรับมรดกหรือมีเจตนาจะไม่รับเอาทรัพย์ตามพินัยกรรม แต่เป็นเรื่องพินัยกรรมหายจึงไม่ทำให้นายทองเงินเสียสิทธิที่จะได้รับมรดกตามพินัยกรรม นายทองเงินชอบที่จะนำพินัยกรรมที่หาพบในภายหลังไปขอรับมรดกในฐานะเป็นผู้รับพินัยกรรมอีกได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่า หากผู้รับพินัยกรรมอ้างสิทธิขอรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมแล้ว จะอ้างสิทธิตามพินัยกรรมอีกไม่ได้
ฎีกาของโจทก์ข้อ ๓ อ้างว่า หากนางกิมฮวยทำพินัยกรรมหมาย ล.๑ ไว้จริง พินัยกรรมนั้นก็เป็นโมฆะนั้นเห็นว่าตามพินัยกรรมหมาย ล.๑ เป็นการทำพินัยกรรมโดยผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองฝ่ายมีเจตนาตรงกันที่จะยกทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ด้วยกันให้แก่อีกฝ่าย หนึ่งเมื่อตนถึงแก่กรรมก่อน หาใช่เป็นการตั้งผู้รับพินัยกรรมโดยมีเงื่อนไขบังคับไว้ว่าผู้รับพินัยกรรมต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์ส่วนของตนให้กับผู้ทำพินัยกรรม พินัยกรรมของผู้ทำพินัยกรรมจึงจะมีผลแต่อย่างใดไม่ พินัยกรรมหมาย ล.๑ จึงสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๖๔/๒๔๙๘
ที่โจทก์อ้างในฎีกาข้อ ๓ ต่อไปว่า นายทองเงินบอกสละพินัยกรรมแล้ว นายทองเงินไม่ได้กล่าวอ้างพินัยกรรม มรดกของนางกิมฮวยย่อมตกได้แก่โจทก์แล้วและนายทองเงินต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกเพราะปกปิดพินัยกรรมนั้น การที่นายทองเงินไปขอรับมรดกโดยอ้างฐานะทายาทโดยธรรมเพราะหาพินัยกรรมไม่พบ ไม่ใช่เป็นการสละมรดกและจะถือว่ามรดกของนางกิมฮวยตกได้แก่โจทก์ก็ไม่ได้ เพราะพินัยกรรมตัดทายาทอื่นทั้งหมดมิให้เป็นผู้รับมรดกการที่นายทองเงินหาพินัยกรรมไม่พบก็ถือไม่ได้ว่านาย ทองเงินปกปิดพินัยกรรม
เมื่อรับฟังว่าพินัยกรรมหมาย ล.๑ สมบูรณ์แล้วแม้โจทก์จะเป็นทายาทโดยธรรมของนางกิมฮวย ก็ต้องถูกตัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๘ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งมรดกตามฟ้อง
พิพากษายืน