คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้องเพราะจำเลยขายบ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมให้แก่ ช. ไป และได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยาแล้ว และไม่ได้รับการติดต่อ จาก ช. เรื่องที่จำเลยถูกฟ้อง เนื่องจาก ช. ไม่ทราบที่อยู่ใหม่ของจำเลย และจำเลยไม่ได้ไปที่ บ้านเดิมอีกเลย กรณีถือได้ว่าจำเลยมิได้จงใจ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา คำร้องของ จำเลยระบุว่า การที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา เพราะจำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียก และสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์ รวมทั้งคำบังคับ เนื่องจากโจทก์นำไปส่งที่บ้าน ที่จำเลยขายไปแล้ว ถือได้ว่าคำขอของจำเลย แสดงเหตุแห่งการล่าช้าอันเนื่องมาจากพฤติการณ์ นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจรู้ได้ ทำให้ไม่สามารถยื่น คำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งคำบังคับให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินไว้กับโจทก์ครบกำหนดจำเลยไม่ไถ่ถอนการขายฝาก และจำเลยยังคงอยู่ในบ้านที่ปลูกในที่ดินดังกล่าว ขอให้จำเลยรื้อบ้านให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากที่ดิน กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปและรื้อถอนบ้านพิพาทของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่า โจทก์นำเจ้าหน้าที่ไปปิดหมายที่บ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งจำเลยได้ขายบ้านดังกล่าวให้บุคคลอื่นไปแล้วก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ และไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยรับว่ายังเป็นเจ้าของบ้านตามที่โจทก์ฟ้องจึงต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาที่นั้นตลอดมาจะอ้างเหตุการขายบ้านมาปัดความรับผิดไม่ได้ การส่งหมายจึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกิน 15 วันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับ ทั้งมิได้อ้างเหตุที่ยื่นคำร้องล่าช้ามาด้วย จึงเป็นการยื่นไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว อนุญาตให้พิจารณาใหม่และอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 8 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้องเพราะจำเลยขายบ้านเลขที่ 30/21 ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมให้แก่นายชัยรัตน์ไป และได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยาแล้วและไม่ได้รับการติดต่อจากนายชัยรัตน์เรื่องที่จำเลยถูกฟ้องเนื่องจากนายชัยรัตน์ไม่ทราบที่อยู่ใหม่ของจำเลยและจำเลยก็ไม่ได้ไปที่บ้านเดิมอีกเลยกรณีถือได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เกินกว่ากำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก และเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง เพราะมิได้ระบุเหตุแห่งการยื่นคำร้องดังกล่าวล่าช้ากว่ากำหนด 15 วันมาด้วยนั้นเห็นว่า คำร้องของจำเลยระบุไว้แล้วว่า การที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณานั้น เพราะจำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์ รวมทั้งคำบังคับเนื่องจากโจทก์นำไปส่งที่บ้านที่จำเลยขายไปแล้ว ถือได้ว่าคำขอของจำเลยแสดงเหตุแห่งการล่าช้าอันเนื่องมาจากพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจรู้ได้ทำให้ไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ส่งคำบังคับให้จำเลยแล้ว และโจทก์ได้นำสืบนายอภิชาติ มินาลัย พี่ชายของจำเลยซึ่งเบิกความสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของตัวจำเลยว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2533นายอภิชาติได้กลับมาที่บ้านเลขที่ 56 หมู่ที่ 10 แขวงบางปะกอกเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านพิพาทตามฟ้องและได้พบหมายศาลปิดไว้ระบุให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านหลังนี้ภายในวันที่ 30 มีนาคม 2533 นายอภิชาติจึงโทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยจึงได้ไปปรึกษาหารือกับทนายความที่สำนักงานสัก กอแสงเรือง เมื่อทนายความไปตรวจสำนวนจึงได้ทราบว่าโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีเรื่องนี้ โจทก์ มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ดังนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2533 ฉะนั้นจำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในวันที่ 29 มีนาคม 2533 ได้เพราะไม่เกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ (วันที่จำเลยไม่ทราบว่าตนถูกฟ้อง) ได้สิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก
พิพากษายืน

Share