คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ได้บรรยายประกอบเอกสารกับภาพถ่ายท้ายฟ้องอันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องไว้แล้วว่าเดิมพ.สามีจำเลยจัดสรรแบ่งขายที่ดินตามโฉนดเลขที่2800ให้แก่คนทั่วไปโดยที่ดินส่วนหนึ่งคือที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทตามโฉนดเลขที่10514ได้เว้นไว้สำหรับทำทางเดินและทางรถกว้าง2วาตามแผนที่โฉนดท้ายฟ้องหมายเลข2โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะกว่า10ปีและบรรยายต่อไปว่าจำเลยได้ให้คนปักเสาขึงลวดหนามกั้นเขตที่ดินโจทก์และปักเสา3ต้นขวางถนนเข้าบ้านโจทก์ตามภาพถ่ายหมายเลข4และ5ตามลำดับทำให้โจทก์รับความเสียหายเสื่อมประโยชน์โดยไม่อาจทำประตูเข้าออกบ้านได้ฟ้องของโจทก์บรรยายชัดเจนซึ่งสภาพแห่งข้อหาปิดกั้นทางภารจำยอมคำขอบังคับให้จำเลยรื้อรั้วและเสาที่กั้นเขตที่ดินกั้นทางเข้าออกตลอดถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เดิมพ. ประสงค์ให้ทางพิพาทเป็นแนวถนนของที่ดินที่แบ่งจัดสรรทุกแปลงรวมทั้งที่ดินของโจทก์ด้วยเมื่อโจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและใช้ทางพิพาทตลอดมากว่า10ปีโดยจำเลยไม่ได้แสดงการสงวนสิทธิในที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทไว้โจทก์จึงได้ภารจำยอมในทางพิพาทตลอดแนวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401จำเลยผู้รับมรดกทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์จึงจำต้องรับภารจำยอมดังกล่าวไม่มีสิทธิปิดกั้นรุกล้ำแนวทางพิพาทหรือประกอบกรรมใดๆอันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามมาตรา1390 หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296ทวิได้อยู่แล้วโจทก์จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์จึงชอบแล้วมิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ.2513 นายเพลิน แสงสมพรเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2800 เลขที่ดิน 94 ได้แบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย 13 โฉนด คือ โฉนดที่ดินเลขที่ 10504ถึง 10515 เลขที่ดิน 2487 ถึง 2498 ตามลำดับ โดยประสงค์จะขายให้แก่คนทั่วไป ที่ดินซึ่งจัดขายแปลงย่อยนี้มีทางเดินและทางรถเข้าออกสู่ทางสาธารณะทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกกว้าง 2 วา ยาวตลอดที่ดินโฉนดเลขที่ 10514 เลขที่-ดิน 2497นายเพลินได้ขายที่ดินไป 11 แปลง โดยโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 10507 เลขที่ดิน 2490 จากนายเพลินและรับโอนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2526 ทั้งนี้โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2521โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา 161,600บาท ผ่อนส่งเดือนละ 1,000 บาท มีกำหนด 150 เดือน เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อแล้วก็ได้ปลูกบ้านเลขที่ 106/15 อยู่อาศัยใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่ดินโฉนดเลขที่ 10514 นายเพลินได้ยกระดับทำเป็นถนนโรยกรวด ไว้แล้ว เว้นแต่ทางเข้าบ้านโจทก์ยังเป็นถนนดินและต่ำตามสภาพเดิมซึ่งนายเพลินให้สัญญาว่าจะทำถนนยกระดับและโรยกรวด ให้เหมือนกับถนนที่ทำไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ทำก็ตายเสียก่อน จำเลยซึ่งเป็นภริยานายเพลินรับโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 10514 ได้สั่งให้คนปักเสาขึงรั้วลวดหนามกั้นเขตที่ดินของโจทก์ที่ติดกับถนนและปักเสา 3 ต้นขวางถนนเข้าบ้านโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมประโยชน์ ไม่อาจทำประตูเข้าออกบ้านของโจทก์ และนำรถยนต์เข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ได้ โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อรั้วและเสาที่กีดขวางถนนต้นทางเข้าบ้านโจทก์แล้วจำเลยไม่ยอมปฎิบัติตามขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 10514 เป็นที่ดินภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 10507 ตำบลบางค้อ อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดินเขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ให้จำเลยรื้อรั้วกั้นเขตที่ดินของโจทก์กับที่ดินถนนภารจำยอม และรื้อถอนเสา 3 ต้น ที่กีดขวางถนนต้นทางเข้าบ้านโจทก์ กับให้ปรับที่ดินทำถนนและโรยกรวด ให้มีสภาพเท่ากับถนนเดิมที่ทำไว้ถ้าจำเลยไม่ปฎิบัติตามก็ขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ทำแทน โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายให้เห็นว่าถนนพิพาทซึ่งสร้างอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10514นั้นตั้งอยู่ที่ใด โจทก์เสื่อมประโยชน์อย่างไรจากถนนพิพาทอีกทั้งมิได้บรรยายว่าถนนพิพาทส่วนใดที่โจทก์จำเป็นต้องใช้เดินเข้าออก มีความกว้างเพียงใด และนายเพลินได้แสดงเจตนาให้ถนนพิพาทดังกล่าวเป็นทางเข้าออกของบุคคลภายนอกหรือไม่คงปรากฎจากคำฟ้องเพียงว่านายเพลินได้ทำถนนเข้าออกสำหรับที่ดินแปลงอื่น ๆ โดยยกระดับถนนและโรยกรวด ไว้เท่านั้น จำเลยจึงไม่เข้าใจฟ้อง ไม่อาจต่อสู้คดีได้นายเพลินไม่เคยจัดสรรแบ่งขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก แต่ได้จัดแบ่งให้แก่ทายาทขณะมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย โจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10507 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นายเพลินไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์โจทก์เข้าอยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวไม่เกิน 5 ปี ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งให้ที่ดินของจำเลยตกเป็นทางภารจำยอมจำเลยยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย มีอำนาจกระทำการใด ๆ ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ จำเลยไม่เคยแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นใช้เป็นทางสาธารณะหรือจดทะเบียนยอมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดร่วมใช้เป็นทางภารจำยอมจำเลยไม่เคยทำให้โจทก์ ได้รับความเสียหายหรือเสื่อมประโยชน์นายเพลินไม่เคยให้คำมั่นหรือสัญญากับโจทก์ว่าจะให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 10514 เป็นทางเข้าออกของที่ดินโจทก์ โจทก์มีถนนเข้าออกสู่ทางสาธารณะอื่นแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยอีกต่อไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 10514 เป็นที่ดินภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 10517 (ที่ถูกเลขที่ 10507)ตำบลบางค้อ อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นภารจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ถ้าจำเลยไม่ปฎิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อลวดหนามกั้นเขตที่ดินของโจทก์กับที่ดินถนนภารจำยอม และรื้อถอนเสาที่กีดขวางถนนต้นทางเข้าบ้านโจทก์ หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามก็ให้โจทก์ทำแทน โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่าหากจำเลยไม่ปฎิบัติตามก็ให้โจทก์ทำแทนโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆแทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยมีปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่10514 ของจำเลยส่วนใดตกเป็นทางภารจำยอม และโจทก์เสื่อมประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างไรเห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายประกอบเอกสารกับภาพถ่ายท้ายฟ้องอันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องไว้แล้วว่า เดิมนายเพลิน แสงสมพร สามีจำเลยจัดสรรแบ่งขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2800 ตำบลบางค้อ อำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ให้แก่คนทั่วไปโดยที่ดินส่วนหนึ่งคือที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทตามโฉนดเลขที่ 10514 ได้เว้นไว้สำหรับทำทางเดินและทางรถกว้าง 2 วา ตามแผนที่โฉนดท้ายฟ้องหมายเลข 2โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะกว่า 10 ปี และบรรยายต่อไปว่า จำเลยได้ให้คนปักเสาขึงลวดหนามกั้นเขตที่ดินโจทก์และปักเสา 3 ต้น ขวางถนนเข้าบ้านโจทก์ตามภาพถ่ายหมายเลข 4และ 5 ตามลำดับ ทำให้โจทก์รับความเสียหายเสื่อมประโยชน์โดยไม่อาจทำประตูเข้าออกบ้านได้ ฟ้องของโจทก์บรรยายชัดเจนซึ่งสภาพแห่งข้อหาปิดกั้นทางภารจำยอมคำขอบังคับให้จำเลยรื้อรั้วและเสาที่กั้นเขตที่ดิน กั้นทางเข้าออก ตลอดถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
มีปัญหาต่อไปว่า ทางพิพาทตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2และภาพถ่ายรูปจำลองแผนที่ท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ 10514 เอกสารหมาย จ.2 เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 10507 ของโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ทางพิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ จำเลยสงวนสิทธิโดยกั้นรั้วลวดหนามที่ให้โจทก์ใช้ทางพิพาทได้ก็เพียงอนุญาตเสมือนเป็นบุตรหลานเท่านั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า เดิมนายเพลินประสงค์ให้ทางพิพาทเป็นแนวถนนของที่ดินที่แบ่งจัดสรรทุกแปลงรวมทั้งที่ดินของโจทก์ด้วย เมื่อโจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและใช้ทางพิพาทตลอดมากว่า 10 ปี โดยจำเลยไม่ได้แสดงการสงวนสิทธิในที่ดินพิพาทหรือทางพิพาทไว้ โจทก์จึงได้ภารจำยอมในทางพิพาทตลอดแนวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401จำเลยผู้รับมรดกทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์จึงจำต้องรับภารจำยอมดังกล่าว ไม่มีสิทธิปิดกั้นรุกล้ำแนวทางพิพาทหรือประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1390 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า นายเพลินไม่ได้จัดสรรที่ดินเพื่อมุ่งหวังทางการค้าเพื่อเอากำไรจึงไม่ได้ขออนุญาตต่อทางราชการเพื่อจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 286นายเพลินและจำเลยผู้รับมรดกจึงไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ซื้อที่ดินนั้นเห็นว่าจำเลยไม่ได้ให้การถึงเรื่องดังกล่าวฎีกาของจำเลยส่วนนี้จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามและเสาคอนกรีตตามคำขอท้ายฟ้องนั้น เห็นว่า หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามคำบังคับของศาล โจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้วโจทก์จะขอรื้อถอนเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์จึงชอบแล้ว มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share