คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในเรื่องร้องขอเป็นผู้จัดมฤดก แม้ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจศาลย่อมระลึกถึงข้องที่ผู้ร้องเรียกตลอดจนการเรียกพะยานเพื่อประกอบการพิจารณาได้
คำพิพากษาตามปกติย่อมเข้าใจว่า เป็นคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นหมดการพิจารณาสำหรับคดีนั้น ถ้ายังไม่ยุตติการพิจารณาคดีนี้ ก็ชอบที่จะใช้เป็นคำสั่งซึ่งในทางปฏิบัติเรียกว่าคำสั่งระหว่างพิจารณา
(ม.226 ป.ม.วิ.แพ่ง)
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ดำเนินคดีไปอย่างคดีมีข้อพิพาท ศาลชั้นต้นจะพิพากษาหรือสั่งว่าผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเป็นคู่ความไม่ได้ เพราะขัดต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการพิจารณาไปอย่างคดีมีข้อพิพาท

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ว่าเป็นมารดานางอุดมพร สุทธิโรจน์ นางอุดมพร สุทธิโรจน์ตาย โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ มีทายาทคือผู้ร้องและบุตานางอุดมพร ๓ คนซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ จึงขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมฤดกนางอุดมพร
นางเจริญ สุทธิโรจน์ มารดานาวาอากาศตรีสนาน สุทธิโรจน์ สามีนางอุดมพร และเป็นย่าของนางอุดมพร คัดค้านว่า ผู้ร้องมีสามีใหม่ ถ้าเป็นผู้จัดการมฤดกแต่ผู้เดียวจะเสียหาย จึงขอให้ศาลสั่งตั้งกองหมายเป็นผู้จัดการมฤดก หรือถ้าตั้งผู้ร้อง ก็ขอให้ตั้งผู้คัดค้านร่วมด้วย
ศาลแพ่งสั่งว่า คดีกลายเป็นคดีมีข้อพิพาท ให้ผู้คัดค้านดำเนินการฟ้องร้องภายในกำหนด ๑๕ วัน ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามกฎหมายไม่ใช่จะต้องฟ้องร้องใหม่ จึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินคดีต่อไป
ศาลแพ่งเห็นว่า ผู้คัดค้านไม่ใช่ญาติกับผู้ตาย และไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็ก จึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมฤดกของผู้ตาย ไม่มีสิทธิคัดค้านได้ จึงให้งดสืบพะยาน และพิพากษายกคำคัดค้าน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลแพ่ง ให้ศาลแพ่งดำเนินการพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ที่จะร้องขอต่อศาล ขอแต่งตั้งผู้จัดการมฤดกได้แก่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยยการ แต่ไม่มีบทกฎหมายกำหนดไว้ว่า เมื่อมีการร้องขอแล้ว ใครบ้างที่จะร้องคัดค้านได้ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อมีผู้ร้องขอซึ่งต้องใช้สิทธิในทางศาลตามมาตรา ๕๕ ป.ม.วิ.แพ่ง ศาลย่อมมีหน้าที่ต้องพิเคราะห์ว่าสมควรจะให้สิทธิแก่ผู้ร้องขอหรือไม่ และในการนี้ ถ้ามีใครนำข้อเท็จจริงใดร้องเรียนต่อศาล ถึงแม้ว่าศาลจะเห็นว่าผู้นั้นร้องคัดค้านไม่ได้ และไม่ยอมให้เป็นผู้คัดค้าน แต่ถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร ศาลย่อมระลึกถึงข้อเท็จจริงที่ผู้นั้นนำมาร้องเรียนตลอดจนเรียกบุคคลมาเป็นพยานในศาล ในข้อเท็จจริงนั้น เพื่อประกอบการพิจารณาว่า สมควรให้สิทธิแก่ผู้ร้องขอหรือไม่
คดีนี้การที่ศาลแพ่งพิพากษายกคำร้องคัดค้านเสียนั้น คำพิพากษาตามปกติย่อมเข้าใจว่า เป็นคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นหมดการพิจารณาสำหรับคดีนั้น ถ้ายังไม่ยุตติการพิจารณาคดีนั้น ชอบที่จะใช้เป็นคำสั่ง ซึ่งในทางปฏิบัติเรียกว่าคำสั่งระหว่างพิจารณา การที่ศาลแพ่งพิพากษาว่า ผู้ร้องคัดค้านไม่มีสิทธิร้องคัดค้านนี้ จะว่าเป็นคำชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นหมดการพิจารณาสำหรับคดีนั้นเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะยังหาได้ชี้ประเด็นในข้อตั้งผู้จัดการมฤดกไม่
เมื่อศาลแพ่งเห็นว่า ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิจะร้องคัดค้าน ก็ชอบที่จะสั่งเสียในขณะเมื่อผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านนั้นแล้ว ผู้คัดค้านจะไปฟ้องร้องผู้ร้องขออย่างไร ก็เป็นเรื่องของผู้คัดค้านนั้นเอง เพราะแม้ ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๘๘(๔) จะกล่าวว่า ถ้าบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี ให้ถือว่าเป็นคู่ความ และให้ดำเนินคดีไปตามบทบัญญัติ ว่าด้วยคดีมีข้อพิพาท ก็มิได้หมายความว่า ถ้าใครมาคัดค้านจะกลายเป็นคู่ความเสียหมด แต่คงหมายฉะเพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น การที่ศาลแพ่งสั่งว่า กลายเป็นคดีมีข้อพิพาทและสั่งให้ผู้คัดค้านไปทำการฟ้องร้องภายในกำหนดโดยจะรอคดีนี้ไว้ฟังคดีที่ผู้คัดค้านไปฟ้องนั้นเอง แสดงให้เห็นว่าศาลแพ่งรับผู้คัดค้านเข้ามาเป็นคู่ความแล้ว ประกอบกับศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลแพ่งดำเนินคดีไปอย่างคดีมีข้อพิพาท โดยไม่ต้องไปฟ้องร้องใหม่ ซึ่งเป็นคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว ปัญหาเรื่องการเข้ามาเป็นคู่ความของผู้คัดค้านจึงเป็นอันยุตติ ศาลแพ่งกลับไปพิพากษาว่า ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิคัดค้าน จึงขัดกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดแล้ว โดยเหตุที่ว่าการกระทำของศาลแพ่งนี้เป็นการตัดสินให้ผู้คัดค้านเข้าเกี่ยวข้องในคดี และเป็นการกระทำให้คดีซึ่งศาลอุทธรณ์ได้สั่งแล้วว่า เป็นคดีมีข้อพิพาทกลับเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท เพราะต่อสู้คัดค้นไม่ให้เป็นผู้คัดค้านเสียแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลแพ่งดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ จึงชอบแล้ว ศาลแพ่งมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share