คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8161/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1521ประกอบมาตรา 1566(5) ที่ให้อำนาจศาลเพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของผู้เยาว์ในการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ใช้อำนาจปกครองมิได้กำหนดวิธีการที่คดีจะมาสู่ศาล แสดงว่าประสงค์จะให้คดีขึ้นสู่ศาลได้ทั้งการเสนอคดีโดยทำเป็นคำฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาทและทำเป็นคำร้องขอแบบคดีไม่มีข้อพิพาท ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาของเด็กหญิง ป. อ้างในคำร้องขอว่า ร. มารดาเด็กหญิง ป. ไม่สามารถเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เด็กหญิงป. เนื่องจากมิได้ประกอบอาชีพ ประสงค์จะให้เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นผู้ร้องทั้งผู้ร้องรับราชการเป็นทหาร สามารถอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและความอบอุ่นแก่เด็กหญิง ป. ได้ หากเป็นจริงย่อมถือได้ว่ามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในภายหลังแล้ว ศาลจึงมีอำนาจสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองได้โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของเด็กหญิง ป. เป็นสำคัญหาใช่เป็นเรื่องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลไม่แม้ผู้ร้องสอดเสนอคดีโดยทำเป็นคำร้องขอศาลก็รับคำร้องขอของผู้ร้องไว้พิจารณาได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องกับนางรัชนก ปานพันธ์หรือปลั่งวงศ์เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กหญิงศนิชาหรือปุษยา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2538 ผู้ร้องและนางรัชนกได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา โดยตกลงให้นางรัชนกเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงปุษยา เมื่อต้นเดือนมกราคม 2542นางรัชนกแจ้งแก่ผู้ร้องว่าไม่สามารถเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เด็กหญิงปุษยาได้เนื่องจากไม่ได้ประกอบอาชีพใด ๆ ผู้ร้องประกอบอาชีพรับราชการทหารมีเงินเดือนและสวัสดิการ สามารถเลี้ยงดู ให้การศึกษา ให้ความอบอุ่นแก่เด็กหญิงปุษยาได้ ขอให้มีคำสั่งให้เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองเด็กหญิงปุษยาจากนางรัชนกเป็นผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขอแล้วมีคำสั่งว่า ไม่ใช่กรณีที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิทางศาลยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ร้องในอันที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลเพื่อให้วินิจฉัยตามคำร้อง พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงปุษยายื่นคำร้องขอเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงปุษยาจากนางรัชนกผู้เป็นมารดาเป็นผู้ร้องได้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องขอของผู้ร้องปรากฏว่าผู้ร้องกับนางรัชนกสามีภริยายินยอมจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาโดยทำเป็นหนังสือตกลงกันให้นางรัชนกแต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กหญิงปุษยาจึงเป็นกรณีที่ทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1566(6) เมื่อตกลงกันตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว หากจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ใช้อำนาจปกครองศาลเท่านั้นที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามมาตรา 1521 ประกอบมาตรา 1566(5) แต่การที่ศาลจะใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงได้นั้นจะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติตนไม่สมควรหรือภายหลังพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเข้ามาสู่ความรู้ของศาล กล่าวคือ จะต้องมีคดีมาสู่ศาลโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องเสนอคดีของตนต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาท เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ประการหนึ่งกับทำเป็นคำร้องขอเมื่อบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลอีกประการหนึ่งเนื่องจากมาตรา 1521 ประกอบมาตรา 1566(5) เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลเพื่อคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของผู้เยาว์ การที่มาตรา 1521 ประกอบมาตรา 1566(1) มิได้กำหนดวิธีการที่คดีจะมาสู่ศาลประการใดดังที่มีบัญญัติไว้ในมาตราอื่น แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แสดงว่าบทบัญญัติดังกล่าวประสงค์จะให้คดีขึ้นสู่ศาลได้ ทั้งการเสนอคดีโดยทำเป็นคำฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาทและทำเป็นคำร้องขอแบบคดีไม่มีข้อพิพาทเพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาประโยชน์ของผู้เยาว์ดังกล่าว เมื่อผู้ร้องอ้างในคำร้องขอว่านางรัชนกไม่สามารถเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เด็กหญิงปุษยาเนื่องจากมิได้ประกอบอาชีพ ประสงค์จะให้เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นผู้ร้อง ทั้งผู้ร้องรับราชการเป็นทหารสามารถเลี้ยงดูให้การศึกษาและความอบอุ่นแก่เด็กหญิงปุษยาได้ หากเป็นจริงตามคำร้องขอย่อมถือได้ว่ามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในภายหลังแล้ว ศาลจึงมีอำนาจสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองได้โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของเด็กหญิงปุษยาเป็นสำคัญตามมาตรา 1521 ประกอบมาตรา 1566(1) ดังนั้น ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้พิจารณาได้ หาใช่เป็นเรื่องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาต้องกันให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น”

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขอของผู้ร้อง แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี

Share